Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พบลายเส้นลึกลับ Nazca Lines เพิ่มอีกจำนวนมากและยังเก่าแก่กว่า

พบลายเส้นลึกลับ Nazca Lines เพิ่มอีกจำนวนมากและยังเก่าแก่กว่าที่เคยพบหลายร้อยปี
นักโบราณคดีที่ประเทศเปรูเพิ่งจะค้นพบเส้นนาซคาอันลึกลับเพิ่มมากกว่า 50 รูป ซึ่งหลบซ่อนสายตานักสำรวจและนักโบราณคดีมานานหลายสิบปี และบางส่วนของเส้นนาซคาที่ค้นพบใหม่ยังมีอายุมากกว่าบรรดาเส้นนาซคาที่เคยพบหลายร้อยปี ทำให้นักโบราณคดีมีสมมุติฐานใหม่ในการไขปริศนาที่มาที่ไปของลายเส้นลึกลับที่อยู่คู่โลกมายาวนานกว่า 2,000 ปี
เส้นนาซคา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นรูปร่างต่างๆมีทั้งรูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ ต้นไม้ รวมทั้งรูปคนขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนทะเลทรายนาซคา ในบริเวณพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตร ระหว่างเมือง Nazca และเมือง Palpa ประเทศเปรู ลายเส้นเป็นรูปทรงเรขาคณิตมีจำนวนหลายร้อยรูป และอีกกว่า 70 รูปเป็นรูปสัตว์ มีรูปนก ปลา เสือจากัวร์ ลิง คน ต้นไม้และดอกไม้ รูปที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวถึง 370 เมตร
เส้นนาซคาถูกสังเกตพบครั้งแรกเมื่อปี 1553 โดยนักสำรวจชาวสเปนแต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นทางเดิน จนถึงปี 1940 Paul Kosok นักโบราณคดีที่มาศึกษาระบบชลประทานโบราณได้สังเกตเห็นลายเส้นรูปนกขณะบินผ่านบริเวณนี้ จากนั้นจึงมีการศึกษาเส้นนาซคาอย่างจริงจัง
ความลึกลับของเส้นนาซคาคือไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและมันถูกสร้างด้วยวัตถุประสงค์ใด คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างเส้นนาซคาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล้ำยุค แบบเดียวกับที่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างมหาพิระมิดแห่งกีซา
แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเส้นนาซคาถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาซคาซึ่งอาศัยในบริเวณดังกล่าว สร้างขึ้นในราว ปีค.ศ. 200 ถึง 700 เพียงแต่ชาวนาซคาไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยว่าพวกเขาสร้างลวดลายเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร นักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีการขอฝน

เส้นนาซคาสร้างขึ้นโดยขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก เปิดออกจนถึงชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างล่าง สร้างให้เป็นรูปร่างที่ออกแบบไว้ ลักษณะพิเศษของเส้นนาซคาคือจะเป็นภาพที่เกิดจากเส้นๆเดียวไม่มีขาดตอน เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้แทบไม่มีฝนตกเลย ลายเส้นจึงอยู่คงทนมาอย่างยาวนานกว่า 2,000 ปี
สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของสัญลักษณ์โบราณเหล่านี้คือมันไม่สามารถมองเห็นเป็นภาพจากการมองที่ระดับพื้นดินได้ ต้องมองจากที่สูงบนอากาศ (เช่นอยู่บนเครื่องบิน) เท่านั้นจึงจะเห็นว่าเป็นรูปอะไร ดังนั้นก่อนที่จะมีการประดิษฐ์เครื่องบินจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีสิ่งน่าอัศจรรย์ซ่อนอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้
ทีมนักโบราณคดีชาวเปรูได้ใช้โดรนพร้อมกล้องถ่ายภาพสำรวจจนพบเส้นนาซคาใหม่ที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนจำนวนมากกว่า 50 รูป บางส่วนเป็นเส้นนาซคาจากยุคของชาวนาซคา แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเส้นนาซคาที่มีอายุเก่าแก่กว่าหลายร้อยปี เป็นช่วง 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึงปีค.ศ. 200 ซึ่งเป็นยุคของชาว Paracas และ ชาว Topará รูปที่ค้นพบใหม่และเก่าแก่กว่านั้นส่วนใหญ่เป็นรูปคน
การค้นพบใหม่นี้ถือเป็นการเปิดประตูสู่การตั้งสมมุติฐานใหม่เกี่ยวกับความหมายและวัตถุประสงค์ที่เส้นนาซคาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น ที่อาจสามารถพบกับคำตอบที่แท้จริงได้ในอนาคต
คลิกชมภาพเส้นนาซคาที่เพิ่งถูกค้นพบได้ในวิดีโอด้านล่าง


วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หน้าตาน่ากลัวแต่ตัวน่ากิน เพรียงหินอาหารจากแห่งท้องทะเล

หน้าตาน่ากลัวแต่ตัวน่ากิน ‘เพรียงหิน’ อาหารจากแห่งท้องทะเล เมนูโปรดของชาวเปรู
ก้อนหินหน้าตาประหลาดชนิดนี้คือก้อนหินที่ชาวเปรูและชิลีชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ที่จริงแล้วมันคือ Pyura chilensis สัตว์ในตระกูลเพรียง จึงทำให้มันมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “เพรียงหิน”

ถ้าดูเผินๆ อาจจะเห็นว่าหน้าตาของมันนั้นน่าเกลียดเป็นอย่างมาก แต่สำหรับชาวเปรูและชาวชิลีนั้น พวกมันถือว่าเป็นอาหารเลิศรสเลยทีเดียว เมื่อทำการกะเทาะเอาเปลือกแข็งๆ ของพวกมันออกก็จะพบกับเนื้อสีแดงสดจนดูน่าสยดสยอง ซึ่งเจ้าเนื้อตรงส่วนนี้ชาวเปรูและชาวชิลีสามารถกินมันได้ทั้งแบบสดๆ หรือเอาไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นต้มกับเครื่องเทศทำเป็นซุปหรือทอดแล้ววางบนขนมปังเป็นแซนวิชก็ได้

รสชาติของพวกมันนั้นเข้มข้น เจือด้วยรสขมเล็กน้อย คล้ายๆ กับรสชาติของหอยเม่น อัดแน่นไปด้วยไอโอดีน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเตือนคนที่กินบ่อยๆ ว่าอาจจะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตหากเพรียงหินที่พบนั้นหากินในแหล่งที่น้ำไม่สะอาด เพราะมันจะสะสมโลหะหนักไว้ในเนื้อของมัน

Pyura chilensis
เรียบเรียง : Spo

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ต้นกำเนิด น้ำยาลบคำผิด

ต้นกำเนิด ‘น้ำยาลบคำผิด’ สิ่งจำเป็นยุคพิมพ์ดีดที่ได้ไอเดียมาจากการแก้ไขภาพเขียน
ในปี 1956 Bette Nesmith Graham เลขานุการประจำธนาคาร ในรัฐเท็กซัส เธอประสบปัญหาในการทำงานเอกสารด้วยการพิมพ์ดีดอยู่บ่อยครั้ง เมื่อพิมพ์เอกสารมาทั้งหน้าจนเกือบจะเสร็จ หากพิมพ์ผิดหรือพิมพ์ตกไปสักตัว การที่จะแก้ไขนั้นมีอยู่อย่างเดียวคือการดึงกระดาษออกแล้วพิมพ์ใหม่ทั้งหน้า ซึ่งปัญหานี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากมากๆ

เมื่อเธอได้เห็นการแก้ไขรูปภาพของจิตรกรที่แก้ไขจุดผิดพลาดด้วยการนำสีใกล้เคียงกันมาทาทับ เธอจึงปิ๊งไอเดียนำสีน้ำสีขาวมาใส่ขวดเล็กๆ และใช้พู่กันสำหรับวาดภาพแต้มลงไปในจุดที่พิมพ์ผิด ทำให้การทำงานของเธอไม่ยุ่งยากเหมือนเดิม

Bette ใช้วิธีนี้ในการทำงานที่ธนาคารเป็นเวลากว่า 5 ปี เธอจึงเริ่มรู้สึกว่าเมื่อเพื่อนร่วมงานพิมพ์อะไรผิดพลาดก็มักจะให้เธอช่วยแต้มสีลงบนกระดาษให้ เธอจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับลูกชายที่เป็นครูสอนวิชาเคมี และได้ทำการทดลองผสมสารที่ใช้แทนสีน้ำจนได้น้ำยาลบคำผิดมาและทำออกขายในนาม “Mistake Out” ผลคือมันขายดีพอสมควร

ในปี 1960 เธอจึงขยับขยายจากทำในห้องครัวตั้งเป็นโรงงานขึ้นมาและเปลี่ยนชื่อมาเป็น Liquid Paper ผลที่ได้ก็คือ Liquid Paper กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นในสำนักงานตั้งแต่บัดนั้นมา
เรียบเรียง : S

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รูน สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเวทมนตร์ดึกดำบรรพ์

หนึ่งในความน่าสนใจของการศึกษาพงศาวดารบุร่ำบุราณของโลกใบนี้ก็คือ มันมักจะมาควบคู่กับความลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่เสมอ อีกทั้งความพิศวงเหล่านั้นยังชอบซ่อนตัวอยู่ในศาสตร์ที่อยู่เหนือหลักของเหตุและผลเสียด้วยสิครับ ทั้งเรื่องราวของสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ เช่นภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณหรือโลกหลังความตายและที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือบรรดาไสยศาสตร์และเวทมนตร์โบราณครับ

บ่อยครั้งที่เรามักจะพบว่าไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาต่างๆ มักจะถูกแสดงออกควบคู่กับ “สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์” บางประเภท ส่วนใหญ่ที่พบเห็นได้บ่อยก็จะเป็นอักขระภาษาโบราณหน้าตาแปลกประหลาดที่ช่วยเพิ่มได้ทั้งความขลังและพลังทางด้านเวทมนตร์ให้กับคาถาอาคมเหล่านั้น หนึ่งใน “สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์” ที่โด่งดังที่สุดในโลกโบราณก็คืออักษร “รูน” (Rune) ซึ่งมีต้นกำเนิดในดินแดนทวีปยุโรปสมัยโบราณเมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีที่แล้วครับ

เชื่อกันว่าอักษรรูนนั้นมีพลังอำนาจลึกลับทางเวทมนตร์ซุกซ่อนอยู่ ไม่แต่เฉพาะเมื่อครั้งอดีตกาลเท่านั้นหรอกครับ เพราะในปัจจุบันก็มีอาจารย์และนักพยากรณ์หลายท่านที่ยังคงใช้อักษรรูนโบราณในการช่วยทำนายเหตุการณ์ต่างๆในอนาคต แต่ก็เหมือนกับศาสตร์แห่งการทำนายทั่วไปล่ะครับ ที่ผลของการทำนายจะแม่นยำมากน้อยเพียงใดก็ต้องอยู่ขึ้นกับความเข้าใจในอักขระศักดิ์สิทธิ์ของผู้ทำนายเป็นสำคัญด้วย
ในอดีต สัญลักษณ์ ศักดิ์สิทธิ์แห่งรูนเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่ หลายในชนเผ่าแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นชาวกอธ (Goth) ชนเผ่าเจอร์มานิค (Germanic) ชาวเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ อังกฤษและเยอรมัน อักษรรูนประกอบไปด้วยอักขระ 24 ตัว เป็นพยัญชนะ 18 ตัวและสระ 6 ตัว สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้บางครั้งก็เรียกกันว่าอักขระ “ฟูทาร์ก” (Futhark) ซึ่งเรียกตามอักษร 6 ตัวแรกของอักษรรูน (f u t h a r k) นั่นเอง
นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า คำว่า “รูน” ซึ่งเป็นชื่อเรียกอักษรแห่งเวทมนตร์ดึกดำบรรพ์นั้นน่าจะมาจากคำว่า “raunen” ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า “กระซิบ” (Whisper) และความหมายนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอักษรรูนได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

พักเรื่องวิชาการไว้ก่อน หันมามองต้นกำเนิดของอักษรรูนจากพงศาวดารกันบ้างดีกว่าครับ ตามตำนานแถบสแกนดิเนเวียนหรือชนเผ่านอร์ส (Norse)
เล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้ที่ประดิษฐ์สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งรูน
ขึ้นมาใช้เป็นคนแรกก็คือเทพเจ้าแห่งสงคราม บทกวี ความรู้และความฉลาดหลักแหลม ผู้มีนามว่าโอดิน (Odin) ครับ เทพโอดินได้ห้อยหัวต่องแต่งประหนึ่งค้างคาวอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “อิกดราซิล” (Yggdrasil) ยาวนานเป็นระยะเวลา 9 วัน 9 คืน ติดต่อกัน เพื่อทรมานร่างกายด้วยการให้โลหิตไหลลงศีรษะ ผลจากการทรมานร่างกายของเทพโอดินทำให้ท่านเกิดญาณพิเศษ รับรู้เรื่องราวชวนพิศวงต่างๆมากมายหลาย

เรื่อง ว่ากันว่าตลอดเวลา 9 คืนที่ห้อยหัวอยู่นั้น เทพโอดินได้ล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดของโลกใบนี้ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่พระองค์ตระหนักรู้ด้วยเช่นกันก็คือ สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง พระองค์เองคงต้องสิ้นลมหายใจลงไปในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ท่านจึงคิดหาวิธีที่จะรักษาความรู้มหาศาลเหล่านั้นเอาไว้ให้มนุษย์ในยุคหลังได้เรียนรู้สืบต่อ
แน่นอนครับ ความรู้มากมายถ้าเพียงแค่จดจำเอาไว้ในสมองยังไงสักวันหนึ่งมันก็ต้องลืม ดังนั้นเทพโอดินจึงได้ประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายความรู้ที่ท่านได้รับมาใน 9 คืนอันแสนทรมานให้มนุษย์โลกได้ศึกษา ดังนั้นถ้าเราอ้างอิงตามตำนานศักดิ์สิทธิ์นี้ อักษรรูนจึงเป็นอักขระที่ได้มาจาก “ความตาย” ของมหาเทพโอดิน อักขระชนิดนี้จึงมีความพิเศษในด้านของเวทมนตร์และคาถาอาคม ซึ่งรวมถึงสรรพความรู้โบราณต่างๆด้วย ถือได้ว่ารูนเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์แห่งสแกนดิเนเวียนเลยก็ว่าได้ครับ ชนเผ่านอร์สในสมัยโบราณจึงมักจะจารึกอักษรรูนโดยมีนัยแฝงทางด้านพลังเวทมนตร์เอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปลุกเสกคาถาหรือคำสาปในไสยเวทต่างๆ โดยเฉพาะการร่ายอาคมลงบนอาวุธเพื่อให้สังหารศัตรูได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

ลองขยับเข้ามาดูความหมายเชิงนัยเกี่ยวกับเวทมนตร์ของอักษรรูนกันบ้างดีกว่าครับว่าจะมีความน่าสนใจเพียงใดและจะเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง

นักวิชาการแบ่งอักขระรูน 24 ตัวออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ตัว แต่ละกลุ่มตั้งชื่อตามเทพเจ้าของชาวนอร์ส ซึ่งก็คือกลุ่มเฟรยา (Freya) กลุ่มไฮม์ดัลล์ (Heimdall) และกลุ่มเทียร์ (Tyr)ด้วยว่าอักษรรูนกลุ่มแรกหรือกลุ่มเฟรยา ได้รับชื่อมาจากเทพีแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์ อักขระรูน 8 ตัวแรกในกลุ่มเฟรยาจึงมีความหมายในเชิงของความรัก ความสุขและชีวิตตามไปด้วย

อักษรรูนกลุ่มที่สองหรือกลุ่มเทพไฮม์ดัลล์นั้น ด้วยว่าพระองค์เป็นเทพเจ้าผู้พิทักษ์ ทำหน้าที่ถือกุญแจแห่งสวรรค์เพื่อเปิดทางให้เหล่าดวงวิญญาณเดินทางไปยังแดนสุขาวดี นั่นจึงทำให้อักษรรูนกลุ่มที่สองนี้มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ตีความได้ถึงความก้าวหน้า เงินทอง โชคชะตาและความสำเร็จนั่นเอง
อักษรรูนกลุ่มสุดท้ายหรือกลุ่มเทียร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อักษรรูนในกลุ่มสุดท้ายนี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของอารมณ์และจิตวิญญาณ เช่นความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญหรือไม่ก็เกี่ยวข้อง
กับความเจ็บปวดต่างๆ

คำถามสำคัญก็คือ แล้วอักขระต่างๆเหล่านี้สามารถแสดงพลังทางด้านเวทมนตร์ออกมาได้อย่างไร คำตอบก็คือ เราเพียงแค่ทำการสลักอักขระที่สื่อความหมายถึงนัยต่างๆลงไปเท่านั้นเองครับก็จะสามารถเข้าถึงพลังเหล่านั้นได้แล้ว

ดังเช่นที่ชาวนอร์สทำการสลักอักษรรูนลงไปบนศัตตราวุธของพวกเขา นั่นล่ะครับ แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องทำการ “ผสม” อักขระที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกันด้วยเพื่อแสดงออกถึงพลังที่ครอบคลุมขึ้นด้วยครับ เช่นอักขระเสียง t หรือที่ออกเสียงว่าเทียร์ ซึ่งมีความหมายถึงความกล้าหาญหรือความสำเร็จ เมื่อนำมาผสมกับอักขระเสียง  f หรือที่ออกเสียงว่าเฟฮู (Fehu) ซึ่งมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์หรือความมั่งคั่งแล้ว ก็จะได้สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นซึ่งมีความหมายเชิงเวทมนตร์ในทำนองของ “ความสำเร็จทางการเงิน” นั่นเองครับ
ทว่าในปัจจุบัน อักษรรูนสมัยใหม่ปรากฏขึ้นมามากมายราวกับดอกเห็ดในเกมวางแผนการรบต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่นที่พยายามเชื่อมโยงความศักดิ์สิทธิ์แห่งสัญลักษณ์เข้ากับความเป็นอักษรรูน แต่อักขระยุคใหม่ที่ปรากฏในเกมเหล่านั้นเพียงแค่ใช้ชื่อของ “รูน” เพื่อสื่อถึงพลังอำนาจทางด้านเวทมนตร์เท่านั้น ไม่ได้นำรูปแบบของอักขระมาจากอักษรรูนของชาวนอร์สแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการรังสรรค์ลวดลายของอักษรรูนแบบใหม่กันเองตามใจชอบเสียมากกว่า
ในทางวิชาการแล้ว อักษรรูนเป็นอักขระที่ยังถอดความไม่ได้แน่ชัด การตีความหมายอักษรรูนของนักวิชาการในปัจจุบันจึงเป็นเพียงแค่การศึกษา ตีความและคาดเดาความหมายจากหลักฐานเพียงน้อยนิดที่ยังคลุมเครืออยู่เท่านั้นครับ แต่กระนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนก็ได้กล่าวเสริมเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “จารึกอักษรรูน ทุกชิ้นที่ค้นพบสามารถสื่อความหมายได้มากเกินกว่าที่นักวิชาการได้เคยตีความเอาไว้” นั่นหมายความว่าสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งรูนอาจจะซุกซ่อนเวทมนตร์ที่แฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังเอาไว้ด้วยก็เป็นได้
ด้วยความเป็นมาที่น่าทึ่งและเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวอันเข้มขลัง อักษรรูนจึงถูกนำมาใช้ในการสร้างสีสันให้กับเรื่องราวในโลกภาพยนตร์ โดยล่าสุด รูนได้รับการหยิบยกเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของเหล่าตัวละคร “ชาโดว์ฮันเตอร์” หรือ “นักรบครึ่งเทวดา” ในภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือขายดีเรื่อง The Mortal Instruments: City of Bones ซึ่งเหล่า “ชาโดว์ฮันเตอร์” ได้บรรจงเขียนอักษรรูนตามแบบฉบับของพวกเขาลงบนร่างกาย เพื่อใช้พลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของมันช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ด้านต่างๆ เช่น ความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ หรือความรวดเร็ว รวมทั้งพลังแห่งการเยียวยารักษา แถมยังใช้รูนเป็นเครื่องรางเพื่อการต่อสู้กับบรรดาอสุรกายทั้งแวมไพร์ ผีดิบ หรือมนุษย์หมาป่าในโลกคู่ขนานที่มนุษย์มองไม่เห็นอีกด้วยครับ
แต่ทว่าพลังเวทมนตร์แห่งอักษรรูนของชาโดว์ฮันเตอร์นั้นจะขลังและทรงพลังอำนาจเทียบเท่าอักษรรูนต้นฉบับของชาวนอร์สเมื่อเกือบสองพันปีก่อนหรือไม่ ต้องไปพิสูจน์กันเองครับ

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

รัสเซียพบหลุมยักษ์ ผู้คนร่ำลือรอย UFO ตก ผวา วันสิ้นโลก

รัสเซียพบหลุมยักษ์ ผู้คนร่ำลือรอย UFO ตก ผวา ‘วันสิ้นโลก’!
รัสเซียพบหลุมยักษ์ ผู้คนร่ำลือรอย UFO ตก ผวา ‘วันสิ้นโลก’!
พบหลุมยุบขนาดใหญ่
ซึ่งเชือกันว่าใหญ่ที่สุดในโลกทางตอนเหนือของไซบีเรีย
ท่ามกลางกระแสลือสะพัดว่าเป็นรอยยาน UFO ตก ผู้คนวิจารณ์เป็น “วันอวสานของโลก”
เวลานี้ได้เกิดกระแสฮือฮาเกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก” ขึ้นที่รัสเซีย เมื่อเกิดปรากฏการณ์แผ่นดินยุบตัวเป็นหลุมขนาดมหึมา
ในเมืองยามัล (Yamal) ทางตอนเหนือของไซบีเรีย ทำให้ผู้คนในเมืองวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเมืองนี้ได้กลายเป็นอวสานของโลกไปเสียแล้ว เพราะหลุมดังกล่าวเกิดจากยานยูเอฟโอ (UFO) ตก
รายงานระบุว่า หลุมดังกล่าวมีความกว้างถึง 80 เมตร ซึ่งเชื่อว่าใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และอาจจะใหญ่ที่สุด และลึกที่สุดของโลก ถูกบันทึกภาพได้จากนักบินที่ทำงานให้แก่บริษัทก๊าซแห่งหนึ่งในย่านนั้น
ขณะที่ผู้คนร่ำลือกันว่าหลุมยุบนี้น่าจะเกิดการตกของยานยูเอฟโอ หรืออุกกาบาตถล่ม รวมทั้งเกิดจากภาวะโลกร้อน หรือหินทรุดตัว
ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หลุมยุบดังกล่าวมีขนาดใหญ่พอที่สำหรับเฮลิคอปเตอร์จำนวนหลายลำ พร้อมทั้งปฏิเสธว่าเกิดการอุกกาบาตตก
โดยชี้ว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไป
ที่จะสรุปเหตุการณ์

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

นักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในประเทศสกอตแลนด์

นักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในประเทศสกอตแลนด์
ทีมนักวิทยาศาสตร์นำทีมโดย Dr Steve Brusatte  จาก  Edinburgh University พบร่องรอยไดโนเสาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในพื้นที่เกาะสกาย ประเทศสกอตแลนด์
พวกเขาได้พบกับรอยเท้าไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ มัขนาดความกว้างประมาณ 28 นิ้ว หรือ 70 เซนติเมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นไดโนเสาซอโรพอด ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกราว 170 ล้านปีที่ผ่านมา

โดยมีการค้นพบร่องรอยของไดโนเสาร์กว่า 50 ร่องรอย การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบรอยเท้าไดโนเสาครั้งที่ 2 ในพื้นที่เกาะสกาย ประเทศสกอตแลนด์

ซอโรพอด เป็นไดโนเสาร์คอยาวชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก ส่วนใหญ่แล้วจะมีคอยาวอย่างน้อย 5 เมตร มีอยู่หลายชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือแอมพิโคเลียส และเล็กที่สุดคือพลาทีโอซอรัส ซอโรพอดชนิดเเรกอาศัยอยู่ในยุคไตรแอสสิคตอนปลาย และชนิดสุดท้ายอาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน
ที่มา independent.co.uk

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

ดึกดำบรรพ์ มาชมสิ่งมีชีวิต 10 สปีชีส์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก

ดึกดำบรรพ์!! มาชมสิ่งมีชีวิต 10 สปีชีส์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก
สิ่งมีชีวิตหลายๆชนิดมีอายุมานานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ พวกมันใช้วิธีการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายต่างๆและสามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้มาจนถึงปัจจุบัน วันนี้เราลองมาดูกันครับว่าเข้าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ไปชมกันครับ
10. Martialis Huereka (120 ล้านปี)
Martialis Huereka เป็นสปีชีส์ของมดที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ซึ่งค้นพบในเขตป่าฝนอเมซอน ชื่อของมันหมายถึง “มดจากดาวอังคาร” ลำตัวของมันมีความยาว 3 มิลลิเมตร มันไม่มีดวงตา และอาศัยอยู่ใต้ดิน การค้นพบมดสปีชีส์นี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมดในสปีชีส์ต่างๆ
7
9. ฉลามฟริลด์
(Frilled Shark – 150 ล้านปี)
ฉลามฟริลด์ถูกค้นพบในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 2007 และได้ชื่อว่า “ฟอสซิลที่มีชีวิต”  มันมีลำตัวขนาด 5 ฟุต และมีฟัน 300 ซี่ ซึ่งเรียงเป็น  25 แถวในปากของมัน ไขมันที่สะสมในลำตัวและ hydrocarbon ปริมาณมากในตับช่วยให้มันอยู่รอดได้ในท้องทะเลลึก มลภาวะทางทะเลและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในท้องทะเลส่งผลต่อการอยู่รอดของฉลามพันธุ์นี้มาก
8. กุ้ง Horseshoe (200 ล้านปี)
กุ้ง Horseshoe ปรากฏตัวบนโลกครั้งแรกพร้อมๆกับการกำเนิดไดโนเสาร์ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาช่วยให้มันอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ไข่ของมันมีชีวิตอยู่รอดได้เป็นเวลาหลายปีในพื้นดินที่แห้งผาก และสามารถฟักออกมาเป็นตัวเมื่อได้รับน้ำอีกครั้ง
7. Sturgeon (200 ล้านปี)
Sturgeon เป็นปลาที่มีกระดูกซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก พวกมันอาศัยอยู่ในแถบยูเรเชียและอเมริกาเหนือ ปลาชนิดนี้มีลำตัวขนาด 5.5 ฟุต และมีน้ำหนักตั้งแต่ 200 ถึง 600 กิโลกรัม ปลา Sturgeon เป็นปลาหายากและใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากการล่าไข่ปลาคาร์เวียร์ซึ่งได้จากปลาพันธุ์นี้ของมนุษย์
6. Coelacanath (360 ล้านปี)
Coelacanaths เป็นหนึ่งในปลาที่ใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ และอาศัยอยู่ 2,300 ฟุตใต้ท้องทะเลบริเวณชายฝั่งแอฟริกาและอินโดนีเซีย
ปลาพันธุ์นี้มีขนาดลำตัว 6.5 ฟุต มีน้ำหนักสูงสุดที่ 90 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ย 60 ปี พวกมันใช้เซ็นเซอร์ในการหาเหยื่อ และสามารถขยายกรามให้กว้างขึ้นเพื่องับเหยื่อขนาดใหญ่
5. แมงดาทะเล (445 ล้านปี)
แมงดาทะเลอาศัยอยู่ในเขตทะเลน้ำตื้นทั่วโลก มันมีเปลือกแข็ง ตลอดจนมีกระดูกสันหลังและหางที่ยาว นอกจากนี้ มันยังมีดวงตาด้วยกันทั้งสิ้น 9 ดวง โดยมีดวงตาหลักสองดวงทำหน้าที่ในการมองเห็น ส่วนดวงที่เหลือทำหน้าที่รับแสงเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่
4. Nautilus (500 ล้านปี)
Nautilus อาศัยอยู่บนโลกใบนี้มานานก่อนที่ไดโนเสาร์จะถือกำเนิดเสียอีก พวกมันใช้ชีวิตในทะเลอันดามันแถบประเทศฟิจิ และบริเวณ Great Barrier Reef ร่างกายของมันปกคลุมด้วยเปลือกหลายชั้น และมีหนวดยาวเกือบ 100 หนวดใกล้ๆกับปาก พวกมันใช้หนวดในการต่อสู้ป้องกันตนจากพวกนักล่า
3. แมงกะพรุน (550 ล้านปี)
แมงกะพรุนเป็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่ไม่มีทั้งสมองและระบบประสาท โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายของมันประกอบด้วยน้ำ พวกมันมีต่อมพิษกว่า 5,000 ต่อมอยู่บนหนวด
2. ฟองน้ำ (580ล้านปี)
ฟองน้ำเป็นสัตว์ทะเลที่หลายๆคนเข้าใจผิดคิดว่า มันเป็นพืชชนิดหนึ่ง ทั้งนี้ ฟองน้ำเป็นสัตว์ที่ไม่มีอวัยวะภายใน ไม่มีแขน และไม่มีหัว พวกมันยังมีความสามารถในการสร้างอวัยวะใหม่ขึ้นทดแทนส่วนที่ถูกตัดหรือหายไป
1. Cyanobacteria (2.8 พันล้านปี) 
Cyanobacterias เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดบนโลกใบนี้ และทำหน้าที่ผลิตออกซิเจนให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวกมันสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศผ่านการแบ่งเซลล์
แหล่งที่มา : themys

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

เฮลิแคริเออร์เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า

เปิดไอเดีย! ‘เฮลิแคริเออร์’ เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า ที่กองทัพสหรัฐคิดสร้างตามหนังดัง ‘ดิ เอเวนเจอร์ส’ มาดูกันว่าเป็นไปได้หรือไม่?
สำหรับแฟนภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ เรื่อง ‘ดิ เอเวนเจอร์ส’ (The Avengers) ที่สร้างโดยค่ายหนังยักษ์ใหญ่จากฝั่งฮอลลีวูดอย่างมาร์เวล (Marvel) ก็คงจะพอคุ้นหูคุ้นตากับภาพ ‘เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า’ หรือที่เรียกว่า ‘เฮลิแคริเออร์’ (Helicarrier)  ฐานทัพบินของหน่วย S.H.I.E.L.D ที่อวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์กันมาบ้างแล้ว 

ซึ่งเจ้าเฮลิแคริเออร์นั้น ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมล้ำอนาคตที่ในโลกแห่งความเป็นจริงยังไม่มีประเทศไหนสามารถสร้างได้ ทว่า เมื่อไม่นานมานี้กองทัพเรือสหรัฐอเมริกามีแนวคิดที่จะพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินที่สามารถบินได้เหมือนกับเจ้า ‘เฮลิแคริเออร์’ ที่อยู่ในหนัง จะเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน เลื่อนลงไปชมด้านล่างได้เลย

เจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการระบบอากาศนาวี (Naval Air Systems Command) ของสหรัฐ กล่าวว่า ‘กองทัพสมัยใหม่มีงบประมาณมากมาย ดังนั้นการที่จะพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีน้ำหนักกว่า 100,000 ตัน และมีขนาดใหญ่มหึมาเท่าสนามฟุตบอล 3 สนามรวมกันให้ลอยอยู่บนฟ้าได้ ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่ายุ่งยากอะไร เราต้องการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายในการขึ้นบินแต่ละครั้ง หากว่าสามารถสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้าได้ ก็จะประหยัดต้นทุนในเรื่องดังกล่าวได้มากเลยทีเดียว’
ทว่า เจ้าหน้าที่จากกองทัพเรือสหรัฐที่เห็นต่าง กล่าวว่า ‘การที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้าขนาดใหญ่มหึมาแบบนี้ได้ จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากกว่าที่เรามีอยู่ตอนนี้ อีกอย่างจะเป็นการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ เพราะยิ่งอากาศยานมีขนาดใหญ่มากเท่าใด ก็จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมหาศาลในการขับเคลื่อนมากเท่านั้น และการที่จะทำให้มันลอยได้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพราะไหนจะต้องมาคอยรองรับน้ำหนักของลูกเรือหลายพันชีวิตและเครื่องบินอีกหลายร้อยลำที่ลงจอดอีก ยังมีเรื่องของแรงดันอากาศและความสามารถในการต้านแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคในการบิน ที่สำคัญมันได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน!’

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้าง ‘เฮลิแคริเออร์’ ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่สิบปีหรืออีกร้อยปีข้างหน้าเทคโนโลยีในโลกอนาคตอาจดีพอที่จะสามารถสร้าง ‘เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า’ อากาศยานทรงประสิทธิภาพออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกแห่งความจริงสู่สายตาอนุชนรุ่นหลังเหมือนอย่างในภาพยนตร์ก็เป็นได้!

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

พบซากดึกดำบรรพ์ ทรงกรวยอายุ 450 ล้านปี

พบซากดึกดำบรรพ์ ทรงกรวยอายุ 450 ล้านปี  หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์
หรือฟอสซิล(fossil)
    
หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) ที่หายาก คือซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต
ที่มีรูปทรงกรวย (cone–shape) ขนาดเล็กจิ๋ว แต่เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ในประเทศอังกฤษซึ่งร่วมงานกับทีมนักธรณีวิทยานานาชาติ เผยว่าค้นพบซากดึกดำบรรพ์ลักษณะดังกล่าวในเทือกเขาแอปพาเลเชียนใกล้เมืองฮัมเมิลส์ทาวน์
รัฐเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกา

นักวิจัยระบุว่าซากรูปกรวยนี้มีอายุ 450 ล้านปี มีรูปทรงคล้ายไอศกรีมโคน 
เคยอาศัยอยู่ในยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician) ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงที่มีการขยายตัวของสิ่งมีชีวิตในทะเลบนโลกของเรา

นักวิจัยเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่ซากดึกดำบรรพ์สิ่งมีชีวิตทรงกรวยนี้ 
จะมีลักษณะอ่อนนุ่ม อีกทั้งยังเป็นชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบ โดยเชื่อว่ามันอาศัยอยู่ในหมู่แพลงก์ตอนก่อนที่จะถูกพัดพาลงสู่ท้องทะเล และถูกฝังไว้ในโคลนเปียก

ทั้งนี้ ในยุคออร์โดวิเชียนมีซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในชั้นออร์โดวิเชียนมากมาย แต่เกือบทั้งหมดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเปลือกแข็ง การพบซากสัตว์ที่เชื่อว่ามีความอ่อนนุ่มครั้งนี้ 
นักวิจัยมองว่าจะช่วยทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงสิ่งมีชีวิตในสมัยนั้นได้มากยิ่งขึ้น.

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

Raëlism ลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

☼ลัทธิราแอลิซึ่ม (Raëlism)
ราแอลิซึม หรือราแอเลียน เป็นลัทธิที่ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว
โดยผู้นำลัทธินี้มีชื่อว่านายคล้อด (Claude Vorihon) หรือภายหลังชื่อ ราแอล เป็นชาวฝรั่งเศสที่ก่อตั้งลัทธิขึ้นในปี 1974 ภายหลังจากการพบเจอกับมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนึ่งที่มาส่งสาส์นเล่าเรื่องของต้นกำเนิดมนุษย์และศาสนาทั้งหมดแก่เขา และทุกอย่างบนโลกนี้ถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งที่ชื่อว่า "เอโลฮิม" เป้าหมายหลักๆ ของการส่งสาส์นจากต่างดาวนี้ก็เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ สันติภาพของโลกและวันพิพากษาโลกที่เอโลฮิมจะกลับมาสู่โลกอีกครั้ง 

ดังนั้นราแอลจึงจำเป็นต้องรวบรวมคนให้มากที่สุดและให้ความรู้ความเข้าใจแก่พวกเขาเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันที่เอโลฮิมจะกลับมา
ตั้งแต่ก่อตั้งลัทธิราแอเลียนขึ้นนั้น ช่วงเวลาที่ลัทธิมีความนิยมมากที่สุดคือช่วงปี 1980-1992 โดยมีคนนับถือจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ราแอลเขียนหนังสือส่งสาส์นออกมาในภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น รวมไปถึงภาษาญี่ปุ่นและแอฟริกาที่เป็นเป้าหมายใหม่ในตอนนั้น แต่ถึงแม้ว่าลัทธินี้จะฟังดูโลกสวยและมีจุดประสงค์ที่ดี การเคลื่อนไหวและกิจกรรมบางอย่างของลัทธิก็มักตกเป็นข่าวที่ผู้คนไม่ค่อยชอบนัก 
ทั้งเรื่องเกี่ยวกับเซ็กส์, การช่วยตัวเอง, การโคลนนิ่ง เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรราแอลเชื่อว่าโลกนี้จำเป็นต้องมีผู้ส่งสาส์นอย่างน้อยหนึ่งคนในวัฒนธรรมต่างๆ ดังที่ในทุกๆ ศาสนามีศาสดาที่คอยสอนและนำทางให้ผู้คน ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะรู้ว่าไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกเชื่อในสิ่งที่เขาบอก แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำสิ่งสำคัญเพื่อมวลมนุษย์เพื่อที่จะต้อนรับวันกลับมาของเอโลฮิมในอนาคต

ความจริงมีลัทธิอีกมากมายที่นับถือและเชื่อในมนุษย์ต่างดาว แต่ส่วนมากมักจะมีความเชื่อใกล้เคียงกัน จะแตกต่างก็ที่การเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน..../*
(สัญลักษณ์ของลัทธิราแอลิซ่ม รูปซ้ายคือแบบแรก ที่เหมือนกับสวัสติกะ จึงต้องเปลี่ยนเป็นแบบที่ 2 ด้านขวา)

Heaven's Gateลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

☼ กลุ่มลัทธิเฮเว่นส์เกต (Heaven's Gate)
อีกหนึ่งลัทธิที่มีแนวคิดแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นลัทธิสหัสวรรษ (Millenarism) และเป็นลัทธิยูเอฟโอที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1974 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 
โดยผู้นำหรือศาสดาของลัทธินี้คือนายมาร์แชลล์ แอปเปิ้ลไวท์ (Marshall Applewhite) ภายใต้ความเชื่อว่ามนุษย์เราจะไม่สามารถมีชีวิตรอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ และการจะรอดชีวิตได้นั้นมีแค่ทางเดียวคือต้องขึ้นยานอวกาศเพื่อหนีไปยังดาวดวงใหม่ และหลักฐานที่บอกชัดเจนว่ายานอวกาศลำนั้นกำลังมารับมนุษย์โลกก็คือดาวหางเฮล-บอพพ์ (Hale-Bopp) ที่โคจรมาใกล้โลกในช่วงปี 1977 

แต่การจะขึ้นไปยังยานอวกาศนั้นได้จะต้องใช้วิธีเดียวคือการ "ตาย" โดยการฆ่าตัวตายหมู่ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ที่เรียกว่า 'Heaven's Gate Away Team' เหตุการณ์นั้นมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั้งหมด 39 คนและถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงน่ากลัวที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
    
ก่อนมาร์แชลล์จะตาย เขาได้อัดคลิปวีดิโอทิ้งท้ายไว้ที่ดูแล้วก็ขนลุกเหมือนกัน เพราะคำพูดแปลก ๆ และท่าทางของเขาว่า "ผมสามารถพาพวกคุณไปสู่อาณาจักรที่สูงกว่ามนุษยชาติได้ แต่การจะไปกับผมนั้นคุณจะต้องตัดสินใจละทิ้งโลกนี้อย่างจริงจัง แค่ตามผมมาเท่านั้น เวลาเรามีไม่มากนัก นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว"

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มาร์แชลล์มีแนวคิดประหลาด ๆ แบบนี้อาจเป็นเพราะว่าเขามีสภาวะจิตที่ไม่ปกติเพราะมีประวัติการเข้าพบจิตแพทย์มาหลายครั้ง ปัจจุบันเว็บไซต์ของลัทธิยังคงเปิดอยู่ไว้เป็นอนุสรณ์และสำหรับผู้ที่สนใจอยากลองเข้าไปหาอ่านข้อมูล แต่หวังว่าคงไม่มีใครหวังจะไปโลกหน้ากับมาร์แชลล์นะ

Aetherius Societyลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

Aetherius Societyลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก "มนุษย์ต่างดาว" (UFO religions) ◕‿
มนุษย์ต่างดาว.. สิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด! "มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?" หรือ "นอกจากโลกแล้ว ดาวอื่นมีสิ่งมีชีวิตมั้ย?" บางทฤษฎีก็บอกว่ามีสิ ต้องมีแน่ๆ จักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วทำไมดาวอื่นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตแบบเราอยู่ล่ะ? แต่บางทฤษฎีหรือคนบางกลุ่มก็ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่

ส่วนมากกลุ่มศาสนาและลัทธิเหล่านี้จะรวมตัวกันภายใต้ความคิดว่ามนุษย์ต่างดาวมีความรู้และความฉลาดกว่ามนุษย์มาก และพวกมนุษย์ต่างดาวก็เชื่อมั่นในความฉลาดและประสิทธิภาพของมนุษย์โลกเองว่าพวกเราสามารถจะทำให้โลก "ดีกว่านี้" ได้ และส่วนมากก็พยายามจะช่วยเหลือมนุษย์ การรวมตัวของกลุ่มคนในลัทธิเหล่านี้ก็มีขึ้นเพื่อจะเผยแพร่ความเชื่อเหล่านี้และพยายามช่วยโลกให้ดีขึ้นนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน

☼ เอเธอเรียส โซไซตี้ (Aetherius Society)
เป็นกลุ่มลัทธิที่รวมความเชื่อจากแนวคิดลัทธิสหัสวรรษ (Millenatism), กลุ่มจิตวิญญาณทางเลือก (New Age), ลัทธิยูเอฟหรือศาสนาจานบิน (UFO religion) ก่อตั้งโดยนายจอร์จ คิง (George King) ในช่วงปี 1950 กว่า ๆ ที่เคยประกาศว่าตัวเองสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ "Cosmic Masters" ได้ โดยลัทธินี้จะรวมความเชื่อหลาย ๆ อย่างจากศาสนาต่าง ๆ เช่น ฮินดู พุทธ คริสเตียน และยังมีเรื่องโยคะและจานบินเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วย

เป้าหมายหลักของ Aetherius Society นี้คือการป้องกันการทำลายล้างโลกโดยการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวต่างๆ ที่เขาเชื่อ ลัทธินี้ถือว่าเป็นลัทธิแรกๆ ที่ก่อตั้งขึ้นที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและอยู่มายาวนานกว่าลัทธิอื่น ๆ และถือว่าประสบความสำเร็จพอตัว เนื่องจากสามารถขยายและเพิ่มจำนวนผู้นับถือได้เป็นจำนวนมากทั้งในประเทศอังกฤษเองและสหรัฐอเมริกา
    
การเคลื่อนไหวของลัทธินี้เริ่มมาจากตอนที่นายจอร์จ คิง มีมนุษย์ต่างดาวมาติดต่อและบอกว่าเขาจะต้องเป็นผู้ส่งสาส์นให้คนบนโลกรู้ จากนั้นนายจอร์จ คิงจึงก่อตั้งลัทธิขึ้นโดยการรวบรวมผู้คนที่มีแนวคิดคล้ายกัน เมื่อมีกลุ่มลัทธิขึ้น จึงมีการจัดประชุม การส่งสาส์นต่าง ๆ ที่มนุษย์ต่างดาวฝากเขามาบอก บอกต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ จนลัทธิขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นผู้คนในลัทธินี้จะเชื่อในพลังทางจิตวิญญาณ 

โดยจะมีการอธิษฐาน สวดมนต์ เพื่อเก็บรวบรวมพลังงานเหล่านี้ไว้ใช้ในอนาคต เช่น ช่วงสงครามหรือวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถนำมาใช้ช่วยเหลือคนได้ อีกหนึ่งความประสบคามสำเร็จของลัทธินี้คือในช่วงเวลาที่นายจอร์จ คิง ยังอยู่ เขาสามารถรวบรวมผู้คนที่มีความรู้ความสามารถต่างๆ ให้มาอยู่ในลัทธิของตัวเองได้ ทั้งนักบวช อัศวิน นักวิชาการต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือเขาเคยถวายตนเป็นบาทหลวงในโบสถ์คริสต์แบบเสรีนิยมภายใต้ลัทธิเอเธอเรียส โซไซตี้ และหลังจากเสียชีวิตในปี 1997 ก็มีการสืบทอดและดูแลลัทธิโดยคณะกรรมการบริหารต่าง ๆ ที่มีทั้งในประเทศอังกฤษและอเมริกา

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เปิดตำนาน “เผ่านักรบหญิง แห่ง อเมซอน

😁เปิดตำนาน “เผ่านักรบหญิง แห่ง อเมซอน” สุดยอดนักรบ ต้นแบบ WONDER WOMAN
ถ้าจะให้นิยามถึงชาว อเมซอน ซึ่งเป็นต้นแบบของ วันเดอร์วูแมน (Wonder Woman) หนึ่งใน Superhero ของทาง DC แบบสั้นๆ 
กระชับที่สุด คงเหมือนเอาชาวสปาร์ตัน ที่ทุกคนเคยเห็นในเรื่อง 300 มาสลับบทบาทระหว่างเพศชายกับเพศหญิงกันนั่นแหละ แถมสนุกเร้าใจไม่แพ้กันด้วย
เผ่าอเมซอน เป็นตำนานเล่าขานกันในหมู่ชาวกรีกโบราณมายาวนาน ว่าเป็นเผ่านักรบหญิงที่มีพละกำลัง และทักษะการรบที่เก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย บ้างก็บอกว่าเก่งกว่าแต่ก็น่าจะจริงเพราะดูแล้วพวกเธอแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก จากบันทึกได้เผยว่า นักรบหญิงอเมซอน มีส่วนร่วมอยู่ในประวัติศาสตร์การรบของชาวกรีกอยู่บ่อยครั้ง เช่น ยุคมหาสงครามกรุงทรอยก็เคยประมือกับวีรบุรุษอคีลิสมาแล้ว 

หรือแม้แต่ในตำนานของจอมพลัง เฮอร์คิวลีส เองก็มีเรื่องราวของชาวอเมซอนรวมอยู่ด้วย
ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่านักรบหญิงอเมซอนถูกฝึกตั้งแต่ยังแบเบาะ กล่าวคือนับตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกเธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะได้รับการฝึกให้ชินกับความยากลำบาก พวกเธอไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งดื่มนมแม่ โตขึ้นมาก็ถูกฝึกเป็นนักรบ นักรบหญิงอเมซอนไม่มีความคิดเรื่องการแต่งงานหรือครองเรือน เว้นเสียแต่จะทำเพื่อสืบเผ่าพันธุ์เท่านั้น

✋การเมืองการปกครองของอเมซอนที่เพศหญิงเป็นใหญ่ที่สุด ผู้หญิง ทำหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่งานบ้านจนถึงการศึก เมื่อถึงเวลาต้องการสืบเผ่าพันธุ์ก็ต้องออกไปหาบุรุษเพศจากต่างเผ่า แถมยังเชื่อกันด้วยว่าหากได้ลูกชายก็จะฆ่าทิ้งเสีย ไม่ก็ทำให้พิการจะได้ออกรบไม่ได้
รวมถึงเรื่องที่ว่าชาวอเมซอนจะต้องตัดเต้านมออกข้างหนึ่งเพื่อจะได้ไม่เกะกะเวลาง้างธนู หรือขว้างหอกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะจริงสักเท่าไหร่ เพราะในภาพวาดโบราณก็ไม่เคยมีอะไรแบบนั้นถูกบันทึกไว้เลย ถ้าจะใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะแค่ชุดออกรบของพวกเธอ ที่จะสวมเสื้อหนังสัตว์แบบเปลือยไหล่หนึ่งข้าง เพื่อความถนัดในการออกรบนั่นเอง
(เอาจริงๆ ตอนจะรบกันคงไม่มีใครมีอารมณ์มานั่งส่องสาวหรอกเนาะ)
มาถึงตรงนี้ จึงทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาว่า ด้วยเรื่องเล่าที่ชวนเหลือเชื่อแบบนี้เลยทำให้เราไม่อาจปักใจได้ว่าอเมซอนมีจริงหรือไม่…? แต่เรื่องของอเมซอนก็ดูเหมือนจะยังมีเค้าความจริงอยู่บ้าง จากหลักฐานการขุดพบสุสานของชาวไซเธียน ชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ ไล่ไปถึงมองโกเลียนั่นเอง ซากสุสานที่ค้นพบส่วนใหญ่แล้วจะเจอทั้งธนู คันศร หอก มีด โครงกระดูกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการสู้รบ โครงกระดูกม้า และอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นของสตรีเพศ เป็นข้อพิสูจน์ถึงการมีตัวตนได้อย่างแน่ชัด เพราะพวกเธอเป็นชนเร่ร่อน นั่นเอง

ว่ากันว่า บ้านที่แท้จริงของนักรบหญิงอเมซอนนั้นตั้งอยู่ที่ เกาะ Giresun Island ในประเทศตุรกี เพราะบนเกาะมีการขุดพบแท่นบูชา และซากโบราณสถานอยู่จริงด้วย นั่นจึงทำให้คิดได้ว่าเกาะอเมซอนนั้นอาจไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราก็ได้ ซึ่งหากใครเคยอ่านเรื่อง อภินิหารขนแกะทองคำ จะร้องอ๋อขึ้นมาเลย

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คลีโอพัตรา หน้าตาสวยจริงหรือไม่?

😮คลีโอพัตรา ไม่ได้สวยอย่างที่คิด? แต่ที่ถูกยกให้เป็นผญที่สวยที่สุดในโลกก็เพราะ 
ความฉลาด
คลีโอพัตรา หน้าตาสวยจริงหรือไม่?
งานเขียนเว็บไซต์ Heritage daily ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ความงามที่ร่ำลือกันของคลีโอพัตรานั้นมีพื้นฐานที่น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากอาศัยหลักฐานที่ปรากฏตามประวัติศาสตร์มาพิจารณาประกอบ งานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน คาสซีอุส ดิโอ (Cassius Dio) ซึ่งมีขึ้นหลังการจากไปของคลีโอพัตรากว่า 200 ปี

กล่าวว่า คลีโอพัตราเป็น “หญิงที่งามเกินกว่าความงามใดๆ” เป็นผู้ที่แค่ “ได้มองเห็นก็ถือเป็นบุญตา” ขณะที่พลูตาร์ก (Plutarch) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้เขียนถึงคลีโอพัตราก่อนหน้าดิโอนับร้อยปีว่า “ความงามของเธอ…ใช่ว่าจะหาผู้ใดเปรียบมิได้ หรือจะทำให้ผู้ใดตื่นตะลึงได้เพียงแค่เห็นหน้าเธอ”
อย่างไรก็ดี งานเขียนทั้งสองชิ้นต่างก็มิได้เขียนขึ้นในยุคที่เคลีโอพัตรายังมีชีวิตอยู่จึงไม่อาจบอกได้ว่างานเขียนชิ้นใดมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ขณะที่ภาพสลักของเธอในยุคโบราณที่ปรากฏบนเหรียญตราต่างๆก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตั้งแต่ หน้าตาพื้นๆ ไปจนถึงหญิงจมูกงุ้มและดูเหมือนผู้ชาย
เหรียญ
เมลานี รีด นักวิชาการด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ค้นพบเหรียญโรมันโดยบังเอิญระหว่างการตรวจสอบเหรียญโบราณที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ของธนาคารแห่งหนึ่งในนิวคาสเซิล เหรียญเหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีจนอยู่ในสภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ 
ทำให้สามารถศึกษารูปร่างหน้าตาของคลีโอพัตราได้

เชื่อว่าผลิตขึ้นมาเพื่อฉลองชัยชนะในการพิชิตอาร์เมเนียของจักรพรรดิโรมัน หรือไม่ก็ ผลิตขึ้นมาเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับเหล่าทหารหาญโรมันที่ประจำการอยู่ในอียิปต์
โดยนักโบราณคดี ได้ระบุ รูปลักษณ์ที่แท้จริงของ ราชินี คลีโอพัตรา เอาไว้ว่า พระองค์มีลำคออ้วนเป็นปล้อง หรือเรียกว่า “Rolls of Venus” มีจมูกงุ้ม หูยาว คางแหลม สูงประมาณ 150 เซนติเมตร หรือเท่าๆ กับหญิงในยุคพโทเลมิก

“ภาพบนเหรียญห่างไกลจากภาพของเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ และริชาร์ด เบอร์ตันมาก” ลินด์เซย์ อัลเลสัน-โจนส์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์โบราณคดีของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล พาดพิงถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘คลีโอพัตรา’ ที่ออกฉายในปี 1963
คอมพิวเตอร์
จากการรวบรวบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพระนางคลีโอพัตรา ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด รูปปั้น รวมไปถึงสิ่งของเครื่องใช้เช่นแหวน ที่เชื่อว่าเป็นของพระนางคลีโอพัตรา นำมาประมวลด้วยเทคนิคทาง Computer 3D ทำให้ได้ภาพที่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอียิปต์ เชื่อว่ามีความใกล้เคียงกับพระนางคลีโอพัตราที่สุด
ภาพที่ได้จาก computer พบว่าพระนางคลีโอพัตรามีผิวค่อนข้างคล้ำ ไม่ได้ขาวแบบชาวยุโรปตามที่พวกเราเคยชมจากภาพยนตร์เรื่องคลีโอพัตรา ที่นำแสดงโดย Elizabeth Tayler ดาราที่สวยที่สุดของฮอลลีวู้ดในยุคปี 1960

ความฉลาดอันเหลือล้นของ คลีโอพัตรา
แต่หากก้าวข้ามข้อโต้แย้งเรื่องความงามทางกายภาพของคลีโอพัตรา จะเห็นได้ว่า นักประวัติศาสตร์ของทั้งกรีกและโรมันสองรายนี้ได้กล่าวถึงเสน่ห์ของราชินีแห่งอียิปต์ได้อย่างสอดคล้องกัน
– คาสซีอุส ดิโอ กล่าวว่า “คลีโอพัตรา มีเสียงที่น่าดูดดื่มและยังรู้จักทำให้ผู้อื่นพึงพอใจในตัวเธอได้ทุกคน”
– พลูตาร์ก กล่าวว่า “คลีโอพัตรา มีเสน่ห์ที่ไม่อาจหักห้าม ตัวตนของเธอบวกกับวาจาโน้มนำและบุคลิกที่เธอปฏิบัติต่อผู้อื่นกลายเป็นสิ่งเร้าที่เย้ายวนอย่างยิ่ง”
จากข้ออ้างของสองนักประวัติศาสตร์เห็นได้ว่า เสน่ห์ของคลีโอพัตราก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตาของเธอบ้าง แต่สิ่งที่ส่งอิทธิพลอย่างสูงคือสติปัญญา บุคลิก และวาจาของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าทั้งซีซาร์และแอนโทนีต่างก็เป็นเสือผู้หญิงตัวยง ลำพังเรือนร่างหน้าตา และกามาอาจมิใช่สิ่งที่ทำให้ชายทั้งสองลุ่มหลงในตัวเธอได้ พูดง่ายๆ ว่า คลีโอพัตรา ใช้สมองของพระนางสยบผู้ชายมากกว่าใช้ร่างกายนั่นเอง
– พลูตาร์ช ยังได้เขียนถึงความฉลาดเฉลียวของคลีโอพัตราไว้เพิ่มเติมอีกด้วยว่า “พระองค์ทรงสนทนาด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนหวาน ช่างจำ นรรจา ซึ่งการจำนรรจานั้นเต็มไปด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง จนไม่มีผู้ใดโต้แย้งพระองค์ได้”
– เจฟฟรีย์ ชอว์เซอร์ จินตกวีอังกฤษ เขียนไว้เมื่อศตวรรษที่ 14 ว่าคลีโอพัตรา “อ่อนหวานราวดอกกุหลาบเดือนพฤษภาคม”
– เชคสเปียร์ “อายุไม่สามารถทำลายนางได้ หรือทำให้ความหลากหลายไม่มีที่สิ้นสุดในตัวนางจืดชืดลง”
– พูดได้ 9 ภาษา
– เริ่มปกครองอียิปต์ด้วยวัยเพียง 17 ปี ช่วยรักษาความเป็นเอกราชของอียีปต์ได้นาน 22 ปี และทำให้อียิปต์ในยุคนั้นมั่งคั่งมาก
– เชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์ รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์ และหลักการปกครอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี
– รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ ตลอดเวลาที่ทรงครองบัลลังก์ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมาย
เพราะความปราดเปรื่องนี้เอง ทำให้กองทัพอียิปต์มีความเข้มแข็ง ในครั้งนั้น “นคร อเล็กซานเดรีย” เป็นเมืองหลวงของอียิปต์ และเป็นนครที่มีความทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการแพทย์ที่ก้าวหน้า มีวิทยา การด้านชันสูตร มีห้องสมุดที่กว้างขวางใหญ่โต และมีประภาคาร จน “นครอเล็กซานเดรีย” ดึงดูดให้ศิลปิน ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม นักปราชญ์ กวี จากทั่วโลกเข้ามาอยู่อาศัย

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

นักวิทย์ฯ ค้นพบ กะโหลกมนุษย์อายุ 300,000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก

💀ทีมนักวิทย์ฯ ค้นพบ กะโหลกมนุษย์อายุ 300,000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก
เรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์เรานั้นยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่ชัดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรและเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบหลักฐานสำหรับที่มาของมนุษยชาติแล้ว เพราะว่าพวกเขาได้ค้นพบหัวกะโหลกของมนุษย์ที่มีอายุกว่า 300,000 ปี ซึ่งอาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกไปเลยก็ว่าได้

Jean-Jacques Hublin กับทีมงานของเขาจากสถาบันวิจัย Pax Planck ได้ค้นพบโครงกระดูกอายุกว่า 300,000 ปี และน่าจะเป็นที่มาของมนุษยชาติ โดยฟอสซิลเหล่านี้คาดว่าเป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่เคยมีการค้นพบมา ซึ่งที่มาของการค้นพบครั้งนี้เกิดจากเมื่อประมาณเมื่อ 20-30 ปีก่อน คนงานเหมืองแร่ใน Marrakesh ประเทศโมร็อกโก 

ได้สะดุดเข้ากับหัวกะโหลกของมนุษย์เข้า 
จึงได้เริ่มมีการขุดค้นบริเวณดังกล่าวขึ้น เพราะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ยังมี
โครงกระดูกอื่นๆ อีกจำนวนมาก
จนในที่สุดได้มาพบเข้ากับซากโครงกระดูกโบราณนี้ โดยในตอนแรกพวกเขาสันนิษฐานกันไว้ว่ากะโหลกมนุษย์ที่ค้นพบนั้นมีอายุกว่า 40,000 ปี แต่เมื่อนำไปเทียบกับหลักฐานในยุคต่างๆ ที่เคยมี ปรากฏว่ามันไม่ตรงกับยุคไหนเลย มันจึงน่าจะมีความเก่าแก่มากกว่านั้น

นอกจากกะโหลกที่ว่าแล้ว พวกเขายังพบโครงกระดูกอื่นๆ อีกในบริเวณนี้ โดยคาดว่าน่าจะเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ 5 คน อีกทั้งยังพบมีดที่ทำมาจากหินอยู่ข้างๆ โครงกระดูก และเมื่อนำสิ่งต่างๆ ไปตรวจสอบรังสีแล้วก็พบว่า โครงกระดูกเหล่านี้ที่พบน่าจะมีอายุประมาณ 300,000-350,000 ปีก่อนเลยทีเดียว

ตอนนแรก Jean-Jacques Hublin คิดว่าลักษณะของกะโหลกโบราณต้องมีกระดูกคิ้วที่แข็งแรง มีรูปร่างกะโหลกค่อนข้างใหญ่ และมีใบหน้าที่แบนเรียบ แต่เมื่อมีการค้นพบนี้ขึ้น จึงทำให้ทราบว่ากะโหลกของมนุษย์เมื่อ 300,000 ปีก่อน มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในยุคปัจจุบันมากๆ 

โดยยังมีความเชื่ออีกว่าประเทศโมร็อกโก ยังมีซากดึกดำบรรพ์ที่อาจเป็นกุญแจในการไขจุดกำเนิดของมนุษย์ รอคอยการค้นพบอีกจำนวนมาก ซึ่งในเรื่องนี้จะค้นพบเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา : www.unilad.co.uk

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

พบฟอสซิลจุลชีพเก่าแก่ที่สุด หวังช่วยไขปริศนาสิ่งมีชีวิต

😂พบฟอสซิลจุลชีพเก่าแก่ที่สุด หวังช่วย
ไขปริศนาสิ่งมีชีวิต
นักวิจัยแห่ง “ยูนิเวอร์ซิตี้ คอลลิจ ลอนดอน” (ยูซีแอล) ในอังกฤษ เผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสารธรรมชาติ เมื่อ 1 มี.ค.ว่า ค้นพบ “ฟอสซิลจุลินทรีย์” บนชั้นแร่ควอตซ์ 
“นุฟวูอากิตทัก ซูปราคัสทัล เบลต์” 
(เอ็นเอสบี) ชั้นหินตะกอนและหินภูเขาไฟจากใต้มหาสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในรัฐควิเบกในแคนาดา มันมีอายุ 3.8-4.3 พันล้านปี เป็นซากสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ กำเนิดขึ้นหลังการก่อกำเนิดระบบสุริยจักรวาลเมื่อราว 4.5 พันล้านปีก่อนไม่กี่ล้านปี

ฟอสซิลจุลินทรีย์นี้อยู่ในรูปไอเอิร์นออนออกไซด์หรือสนิม มีลักษณะเป็นเส้นใย ปุ่มและท่อ มีขนาดกว้างราว 1 ใน 10 ของเส้นผม ยาว 0.5 มม. คล้ายจุลินทรีย์ที่กินแร่เหล็กเป็นอาหารในปัจจุบันที่พบตามปล่องน้ำร้อนใต้ท้องมหาสมุทรลึก การค้นพบครั้งนี้จะช่วยตอบคำถามอันยาวนานที่ว่ามนุษย์มาจากไหน มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆในจักรวาลหรือไม่ เพราะถ้ามันเกิดขึ้นหลังโลกถือกำเนิดไม่นาน ก็อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นเช่นดาวอังคารที่เคยมีมหาสมุทรเช่นเดียวกับโลก.

รายการบล็อกของฉัน