Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

คำว่า O.K. มีที่มาอย่างไร ?


"O.K." หรือ "Okay" มาจากไหนกัน? 
ใครเป็นคนคิด?
สวัสดีครับ  ไม่มีศุกร์ไหน เท่าศุกร์เงินเดือนออกแล้วครับ หลายคนคงอารมณ์ดี ช่วงสิ้นปีใช้จ่ายเบาๆนะครับ ไม่งั้นต้นปีจะลำบากเอา วันนี้เราจะมาคุยถึงเรื่อง 'โอเค' เคยสงสัยกันไหมครับว่ามันมาจากไหน มันคืออะไร ใครเป็นคนคิด ผมมีคำตอบให้ครับ แบบว่าเอามือตัวเองทำให้ดูเลยทีเดียว ถ้าทำไม่เหมือนก็ต้องขออภัยไว้ด้วย ฮ่าๆๆที่จริงหลายคนพอจะรู้แล้วว่าตัวย่อคำว่า "O.K." มาจากคำว่า "Oll Korrect" แต่คำที่ถูกต้องจริงๆสะกดว่า "All Correct" ซึ่งแปลว่า ใช้แล้ว, ถูกต้องนะครับ, ตามนั้น, เข้าใจ และอีกมากมายอยู่ที่รูปแบบของสถานการณ์ จากข้อความด้านบน 'O.K.' นะครับ (ผมจะสื่อว่า เข้าใจนะครับ เป็นต้น)

ประวัติที่ 1
คำว่า โอเค (O.K.) มีประวัติมาจาก พ่อค้าชาวอเมริกันผู้มีฐานะคนหนึ่งดำเนินธุรกิจจนร่ำรวย แต่ทว่าความรู้น้อยในด้านตัวอักษร เวลาจะสั่งงานลูกน้อง พ่อค้าคนนี้จะเขียนลงกระดาษเพื่อแจกจ่ายด้วยคำว่า "Oll Korrect" ซึ่งผู้รับมอบงานเข้าใจตรงกัน แต่ใช้ไปใช้มาการติดต่อธุรกิจของพ่อค้าคนนี้กระจายไปหลายประเทศ จนปริมาณงานล้น เขาเลยเขียนเป็นตัวย่อว่า "O.K" พอคนเห็นก็เลยใช้ตามกันมาเพราะมันง่ายดี และคิดค้นภาษามือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอีกเช่นกัน ถ้าจะเขียน 'Oll Korrect' คำเต็มๆก็จะเสียเวลาเขาจึงย่อสั้นๆว่า O.K. เท่านั้น และได้มีการใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติที่ 2
คำว่า "O.K." เริ่มใช้ครั้งแรก ในปี 1838 จากนักหนังสือพิมพ์ของ หนังสือพิมพ์บอสตัน (Boston) ที่คิดใช้คำย่อ เพื่อลดรูปจากคำเดิม และทำให้คำที่เขียนดูน่าสนใจมากขึ้น เช่น I.D.N (I don't know) และเมื่อใช้มากๆ เข้าก็มีการแผลงคำให้ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เช่น มีการใช้ตัวย่อ O.W. แทนคำว่า All Right เพราะอ่านออกเสียงคล้าย Oll Wright และรวมถึงคำว่า O.K. แทนคำว่า All Correct เพราะอ่านออกเสียงคล้าย คำว่า Oll Korrect ด้วย

อย่างไรก็ตามคำว่า O.K. นี้ อาจจะเสื่อม ความนิยมไปตามคำอื่นๆ ถ้าหากตัวอักษรนี้ไม่ถูกนำมาใช้ ในแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ของ มาร์ติน แวน บูเรน (Martin Van Buren) ชมรม O.K. club ย่อมาจาก "Old Kinderhook" ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แวน บูเรน ให้การสนับสนุนเขาในการเลือกตั้ง แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่ก็ทำให้คำว่า O.K. กลายเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา และมีการใช้อย่างแพร่หลายต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
คลิปประกอบบทความ

อย่าพึ่งงงประสาทกันนะครับ ว่าทำไมที่มาถึงมี 2 แบบ ในสมัยอดีตทุกสิ่งอย่างมีการเล่าแบบปากต่อปาก ไม่มีบันทึกอะไรมากมาย ไม่ว่าจะจุดไหน มันก็คือรากฐานจากคำว่า "O.K." เพราะไม่แน่นะครับ ว่าทั้ง 2 เรื่องจะเริ่มใช้พร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน ความบังเอิญมักเกิดขึ้นได้เสมอ ความเป็นจริงแล้วยังมีเรื่องเล่าของคำนี้อีกเยอะ แต่ที่นิยมคือ 2 เรื่องนี้ครับ สวัสดีจ้า - Sora_Plus


วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ย้อนเวลาไป 500 ปีก่อนกับแร่ไพไรต์ตำนานแห่ง ทองคนโง่


ย้อนเวลาไป 500 ปีก่อนกับ...
 ‘แร่ไพไรต์’ ตำนานแห่ง ‘ทองคนโง่’ ทำไมถึงได้ฉายาเช่นนี้ และเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน มาดู...
ค้นหา
Custom Search
ไพไรต์ (Pyrite) คือผลึกแร่โลหะชนิดที่มีสีเหลืองอร่าม คำว่าไพไรต์ มาจากภาษากรีก ที่มีความหมายว่าไฟ (Pry) เหตุที่เรียกว่าไฟก็เนื่องมาจากไพไรต์เมื่อนำไปกระทบกับเหล็กแรงๆ ก็จะทำให้เกิดประกายไฟออกมา 

ประโยชน์ของไพไรต์ส่วนใหญ่จะนิยมนำไปทำเป็นเครื่องประดับ หรือนำไปเป็นส่วนผสมในการทำกรดกำมะถัน เนื่องจากไพไรต์มีสีเหลืองอร่ามจนดูคล้ายกับทองคำ จึงมักจะทำให้ผู้ที่พบเห็นเข้าใจผิดอยู่เสมอว่ามันคือทองคำ จนได้ฉายาว่า 
“ทองคนโง่” (Fool Gold)

เหตุที่ได้รับฉายานี้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 15 เซอร์มาร์ติน โฟรบิสเชอร์ นักสำรวจชาวอังกฤษได้พบกับก้อนทองคำบนเกาะในประเทศแคนาดา จึงคิดว่าโชคเข้าข้างและได้ขนเอาก้อนทองคำเหล่านั้นกลับมาที่อังกฤษ และได้นำไปให้พ่อค้าทองตรวจพิสูจน์ ผลปรากฏว่าก้อนทองคำที่เอามานั้นมันคือ “ไพไรต์” ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่ทอง แต่พ่อค้าเหล่านั้นได้จ้างวานให้เซอร์มาร์ตินกลับไปที่เกาะอีกรอบเพื่อขุดเอามาอีก

เซอร์มาร์ตินก็จัดให้สมใจ คราวนี้ขนกลับมาร่วม 200 ตัน เหล่าพ่อค้าที่หน้ามืดเพราะทองก็ตรวจสอบอีกและก็พบว่าทองคำที่เอามาไม่ใช่ทองเหมือนเดิม แต่ก็ยั๊งงง..งให้เซอร์มาร์ตินกลับไปขุดและขนกลับมาอีกรอบเพื่อความชัวร์....
คราวนี้เซอร์มาร์ตินคงจะขี้เกียจไปๆ กลับๆ จึงอัดมา 1,100 ตันเต็มๆ ผลก็เหมือนเดิมว่ามันไม่ใช่ทอง และเมื่อชาวบ้านชาวช่องรู้ต่างก็ขบขันและเรียกไพไรต์ ว่า “ทองคนโง่” ตั้งแต่นั้นมา (เหล่าพ่อค้านี่ทั้งขาดทุน
ทั้งเสียหน้าแย่เลย)

เรื่องแปลกๆกองทหารม้าสุดแกร่งแห่งไซบาริสต้องพ่ายศึกเพราะเสียงดนตรีเพลงมาร์ช

กองทหารม้าสุดแกร่งแห่งไซบาริส’ ต้องพ่ายศึกเพราะเสียงดนตรีเพลงมาร์ชของตัวเอง อ้าวไหงงั้น! มาดู
ค้นหา
Custom Search
“กองทหารม้าแห่งไซบาริส” 
เมื่อ 2500 ปี ก่อน เป็นที่รู้จักกันดีในดินแดนอิตาลีว่าเป็นกองทหารม้าที่มีระเบียบ มีความเชี่ยวชาญในการฝึกม้าเหนือกว่าดินแดนใดๆ ในยุคนั้น ว่ากันว่าในขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองในทุกๆ ปีของอาณาจักรผู้คนจะรอคอยการเดินพาเหรดของกองทหารม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่ในปีหนึ่งผู้บังคับบัญชาของกองทหารม้าแห่งไซบาริส คิดที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับประชาชนที่รอคอยการเดินพาเหรดของกองทหารม้า จึงสั่งให้ทหารนำม้าทุกตัวฝึกการเดินให้เป็นจังหวะตามเพลงมาร์ช 
ซึ่งแน่นอนทำออกมาได้ดีมากๆ ชาวเมืองต่างปรบมือโห่ร้องให้กับการแสดงที่งดงามเช่นนี้

แต่มันจะไม่กลายเป็นตำนานเลยถ้าหากพวกเขาไม่ต้องไปรบต่อ ในการบุกเข้าโจมตีเมืองโครตอน ที่อยู่
ทางใต้ของอาณาจักรไซบาริส 
กองทหารม้าแห่งไซบาริสบุกเข้าโจมตีหวังจะบดขยี้ให้ราบคาบ 

แต่ทว่าทหารเมืองโครตอน นั้นเตรียมตัวมาดี พวกเขาใช้กลองและแตรที่เตรียมไว้ เป่าและตีให้เป็นจังหวะเพลงมาร์ชเดียวกันกับที่กองทหารม้าไซบาริสใช้ในการเดินพาเหรด
👉ผลก็คือม้าทุกตัวเต้นตามจังหวะเพลงส่งผลให้กองทัพโครตอน บุกเข้าโจมตีกองทหารม้าแห่งไซบาริสจนแตกกระเจิงได้อย่างง่ายดายต้องพ่ายแพ้กลับบ้านไป เพราะความที่อยากเอนเตอร์เทนชาวเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องขำขันในสมรภูมิรบเรื่องหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เรียบเรียง : S

เกาะโซโคตร้า Socotra Island

เกาะโซโคตร้า (Socotra Island)
ค้นหา
Custom Search
เกาะโซโคตร้า เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้ง 4 ของประเทศเยเมน ในมหาสมุทรอินเดีย เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่แสนสงบและมีภูมิประเทศ

ภูมิอากาศเฉพาะตัว ทำให้เหมาะแก่การเติบโตของพืชสายพันธุ์แปลก ๆ ที่หาชมไม่ได้ที่ไหน

เพราะมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดกว่าพืชชนิดอื่นบนโลก  ซึ่งต้นไม้บางต้นคงอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 20 ล้านปีแล้ว

จากความงดงามและความแปลกประหลาดของพืชพรรณชนิดต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ทำให้เกาะแห่งนี้ดูราวกับเป็นสถานที่บนดาวดวงอื่น
และเกาะโซโคตร้าแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008

รายการบล็อกของฉัน