Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พบหลักฐานจิ๋นซีฮ่องเต้สั่งให้ค้นหายาอายุวัฒนะ

🉐พบหลักฐานจิ๋นซีฮ่องเต้สั่งให้ค้นหายาอายุวัฒนะจริง
กองทัพหุ่นทหารดินเผาแสดงถึงความปรารถนาของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่จะครองอำนาจ
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า นักประวัติศาสตร์เผยผลการศึกษาบันทึกม้วนไม้ไผ่โบราณซึ่งค้นพบเมื่อปี 2002 ที่ก้นบ่อน้ำในมณฑลหูหนานว่า บันทึกเหล่านี้คือราชโองการจากจักรพรรดิองค์แรกของจีน ที่สั่งให้ทั่วราชอาณาจักรช่วยกันค้นหายาอายุวัฒนะ รวมทั้งหนังสือตอบจากหัวเมืองต่าง ๆ ที่ถวายรายงานผลการค้นหาดังกล่าว

บันทึกเหล่านี้เขียนด้วยอักษรจีนโบราณลงบนซี่ไม้ไผ่รวม 36,000 ชิ้น โดยซี่ไม้ไผ่ร้อยด้วยเชือกติดกันเป็นม้วนเพื่อใช้แทนกระดาษ 
และมีความเก่าแก่กว่า 2,000 ปี

นายจาง ชุนหลง นักวิจัยจากสถาบันโบราณคดีท้องถิ่น ระบุว่า บันทึกม้วนไม่ไผ่นี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์สมัยหลัง ซึ่งชี้ว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) จักรพรรดิองค์แรกของจีนผู้หมกมุ่นปรารถนาจะมีชีวิตเป็นอมตะ ได้มีราชโองการสั่งให้เมืองทุกแห่งทั่วราชอาณาจักรช่วยกันค้นหายาอายุวัฒนะเป็นการใหญ่จริง โดยราชโองการนี้ถูกส่งไปถึงแม้แต่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลตามแนวชายแดน

นอกจากต้นฉบับของราชโองการดังกล่าวแล้ว นักวิจัยยังพบหนังสือตอบถวายรายงานการค้นหายาอายุวัฒนะจากหัวเมืองต่าง ๆ หลายฉบับด้วย ซึ่งส่วนมากมีเนื้อหาแสดงความอับอายและอึดอัดคับข้องใจของบรรดาขุนนางหัวเมืองที่ไม่สามารถจะค้นหาตัวยาดังกล่าวมาถวายได้

หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า "ตู้เซี่ยง" มีหนังสือมากราบทูลรายงานว่า ประสบความล้มเหลวในการค้นหาตัวยามหัศจรรย์ดังกล่าว 
แต่จะยังคงเดินหน้าค้นหาต่อไปอย่างไม่ลดละ ในขณะที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งชื่อ "หลังหยา" ถวายรายงานว่า สมุนไพรที่เก็บจากเขาที่เป็นมงคลแห่งหนึ่งในท้องถิ่นอาจใช้ทำยาชีวิตอมตะที่ทรงปรารถนาได้
กำแพงเมืองจีน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่จิ๋นซีฮ่องเต้เป็นผู้สั่งการสร้างขึ้น

แม้จิ๋นซีฮ่องเต้จะพยายามค้นหายาอายุวัฒนะเป็นการใหญ่ทั้งในและนอกราชอาณาจักร แต่ก็มาสิ้นพระชนม์ลงเมื่อ 210 ปีก่อนคริสตกาล ในวัย 49 พรรษาเท่านั้น 

โดยสุสานของพระองค์ที่เมืองซีอานได้ฝังกองทัพหุ่นทหารดินเผากว่า 8,000 ตัวเอาไว้ด้วย ซึ่งแสดงถึงความปรารถนาของพระองค์ที่จะครองอำนาจต่อไปตลอดกาล ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

จักรพรรดิองค์แรกของจีนได้วางรากฐานในการรวมจีนให้เป็นประเทศที่เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกันในเวลาต่อมา โดยทำสงครามปราบรัฐอิสระต่าง ๆ ริเริ่มโครงการสร้างทางหลวงเชื่อมระหว่างแคว้น กำหนดตัวบทกฎหมายรวมทั้งมาตรฐานเงินตราและการชั่งตวงวัดให้เป็นแบบแผนเดียวกัน รวมทั้งเป็นผู้สั่งการก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกขนาดใหญ่อย่างกำแพงเมืองจีนด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม การปกครองแบบเผด็จการที่เข้มงวดและโหดร้ายทารุณของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทำให้เกิดเหตุจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นหลังสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทำให้ราชวงศ์ฉินของพระองค์มีอันต้องล่มสลายไปไม่นานหลังจากนั้น

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ตำนานรับน้องใหม่ ครั้งแรกของไทย!

🏫ตำนานโลก ตำนาน“รับน้องใหม่” ครั้งแรกของไทย! ที่แตกต่างกับปัจจุบันแบบสุดขั้ว
“เมื่อก้าวเท้าเข้ามา เจ้ากับข้าพี่น้องกัน”
กิจกรรม “รับน้องใหม่” ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ศิริราช เมื่อพ.ศ.2475 และนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีประเพณีนี้เกิดขึ้น หัวใจของงานรับน้องใหม่ คือ การสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้กับนักศึกษาแพทย์ โดย นักศึกษาแพทย์อวย เกตุสิงห์ เลขานุการสโมสรนักศึกษาแพทย์ในขณะนั้น เป็นผู้เสนอให้จัดงานขึ้น

โดยมีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อต้อนรับนักเรียนแพทย์ที่สำเร็จเตรียมแพทย์ชั้นปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจะข้ามฟากมาเรียนแพทยศาสตร์ต่ออีก4 ปีที่ศิริราช ให้มาพร้อมกันที่ท่าพระจันทร์ รุ่นพี่จะแจวเรือจ้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปรับมาขึ้นที่ท่าหอชาย รุ่นพี่จะรอต้อนรับ จากนั้นพากันไปกราบพระพุทธรูปที่อยู่หน้าหอพัก รุ่นน้องแนะนำตัวกับรุ่นพี่ จากนั้นร่วมรับประทานอาหาร
กิจกรรมรับน้องใหม่สร้างความประทับใจให้แก่ทุกคน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยังสืบต่อประเพณีรับน้องใหม่มาทุกปี และปัจจุบันเรียกติดปากกันว่า “งานรับน้องข้ามฟาก” นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 จะนั่งเรือข้ามฟากมายังท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราช คณบดีและอาจารย์ผู้ใหญ่จะรับน้องขึ้นจากเรือด้วยการดึงมือพร้อมรอยยิ้มแห่งไมตรี น้องใหม่จะไปกราบพระพุทธรูป ลอดซุ้มรับขวัญจากรุ่นพี่ จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงพิธีที่สำคัญยิ่งคือ การกล่าวปฏิญาณตนต่อหน้าพระรูปสมเด็จพระบรมราชชนก

ข้าพเจ้า จักไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีความเอ็นดู เป็นเบื้องหน้า บำเพ็ญประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ซึ่งประสบทุกข์ ไม่สามารถนิ่งดูดายได้ เพราะกรุณา ข้าพเจ้า จะละกรรมอันชั่วร้าย และจักตั้งอยู่ในธรรม ของสัปบุรุษทุกเมื่อ ไม่เป็นผู้เห็นแก่อามิสมุ่งแต่จะเกื้อกูล ข้าพเจ้า จะศึกษาขนบธรรมเนียมและจรรยาแพทย์ และปฏิบัติตนตามแนวทางที่แพทย์จะต้องปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นแพทย์ที่ดีต่อไปในอนาคต (บางส่วนจากคำปฏิญาณตนของนักศึกษาแพทย์)
“เรียนร่วมสำนัก รักเหมือนร่วมแม่” ศ.นพ. อวย เกตุสิงห์ (ศิริราช รุ่น ๓๘)  “ที่ศิริราช พี่จะคอยดึง เพื่อนจะประคอง น้องจะช่วยดัน” นพ.อดิศร รัตนโยธา (ศิริราชรุ่น 115)
และนี่ก็คือเรื่องราวการรับน้องดีๆที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนๆ เป็นการรับน้องด้วยความอบอุ่นเป็นพี่เป็นน้องจริงๆ ไม่ได้รับน้องเพื่อความสะใจ หรือเพื่อเอาคืนกับสิ่งที่รุ่นพี่เคยทำไว้ แล้วมาลงกับรุ่นน้องต่ออีกทอดหนึ่ง
ที่มา agosocial

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กองหินปริศนาอนุสรณ์สถานประหลาดแห่งป่าในลัตเวีย

กองหินปริศนา! อนุสรณ์สถานประหลาดแห่งป่าในลัตเวีย ที่ว่ากันว่านี่อาจเป็นประตูโลกแห่งพ่อมดและแม่มด
ป่า Pokaini ในประเทศลัตเวีย ประเทศเล็กๆ ในแถบยุโรปเหนือเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของป่าลึกลับที่มีสัญลักษณ์ประหลาดๆ ตั้งอยู่ในป่าเป็นจำนวนมาก โดยถ้าใครได้เข้าไปเดินชมภายในป่านั้นจะต้องสะดุดตากับกองหินขนาดย่อมๆ ที่กระจัดกระจายไปทั่วผืนป่า ซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากแต่ว่ามันถูกสร้างมาโดยฝีมือของ “อะไรสักอย่าง”

ชาวบ้านที่อยู่ละแวกป่า Pokaini เชื่อกันว่ากองหินที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมอยู่ในป่า Pokaini นับ 30 กองนั้นเป็นตำนานเรื่องของการไถ่บาปของเหล่าแม่มดพ่อมด ที่ได้กระทำบาปอันหนักหนา จึงใช้เวทมนตร์เสกหินขึ้นมาและนำมาวางไว้ทีละก้อนหลังจากได้ทำบาปไป ดังนั้นชาวบ้านจึงมีความเชื่อก้อนหินเหล่านี้จะมีพลังแฝงอยู่ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ชาวบ้านเอื้อมมือไปสัมผัสกับก้อนหินนั้น ร่างกายบางส่วนของพวกเขาจะรู้สึกร้อนขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกลับไปถึงบ้านโรคที่เป็นอยู่ก็จะหายไปหรือทุเลาลง
เหตุที่กองหินในป่าแห่งนี้นั้นดูแปลกประหลาดก็เพราะพื้นที่บริเวณป่านั้นไม่มีแหล่งของหินเลยแม้แต่น้อย ซึ่งการที่มีหินเป็นจำนวนมากมาตั้งเป็นหย่อมในป่ามันจึงดูเป็นเรื่องแปลกๆ ซึ่งชาวบ้านนั้นก็ยังเชื่อกันอีกว่า หินที่วางอยู่ในป่านั้นไม่ควรจะมีผู้ใดนำไปครอบครองเพราะมันจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้ ซึ่งก็เหมือนกับบ้านเราเป๊ะๆ ที่ว่ามีผู้นำมากลับไปเป็นที่ระลึกแต่ไม่นานก็ต้องกลับเอามาวางไว้ที่เดิมเพราะชีวิตพบกับเรื่องไม่ดีแบบผิดปกติ
นอกจากนี้ป่าแห่งนี้ยังมีต้นสนคู่เก่าแก่ขนาดใหญ่ที่มีความแปลกอยู่ตรงที่รูปร่างของมันที่บิดทวนเข็มนาฬิกา โดยชาวบ้านก็เชื่อกันอีกว่ามันเป็นประตูไปสู่โลกต่างมิติของพ่อมดแม่มดที่ใช้เดินทางข้ามระหว่างสองโลก โดยวันดีคืนดีมักจะมีผู้เห็นแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมาบริเวณต้นสนคู่และหายไป

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Gornaya Shoriaกำแพงหินยักษ์โบราณลึกลับแห่งไซบีเรีย


ฝีมือใคร? ฝีมือใคร? ‘Gornaya Shoria’ กำแพงหินยักษ์โบราณแห่งไซบีเรีย หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งผลงานการสร้างของ ‘มนุษย์ต่างดาว’อีกหนึ่งเรื่องราวปริศนาของกำแพงหินขนาดใหญ่สุดลึกลับ ที่เชื่อกันว่าเป็นผลงานการสร้างของมนุษย์ในยุคโบราณ แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เพราะด้วยความใหญ่โตมโหฬารของกำแพงหินดังกล่าว คงไม่น่าจะใช่ผลงานการสร้างของมนุษย์ แต่น่าจะเป็นฝีมือของผู้ที่มาจาก ‘นอกโลก’ เสียมากกว่า!

‘Gornaya Shoria’ คือชื่อของกำแพงหินสุดลึกลับที่ว่า ตั้งอยู่บริเวณหุบเขา Shoria (Mount Shoria) ทางตอนใต้ของไซบีเรีย ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 2013 โดย Georgy Sidorov นักสำรวจชาวรัสเซีย กำแพงหินดังกล่าวประกอบไปด้วยหินซึ่งมีน้ำหนักหลายพันตัน ซ้อนทับกันอย่างประณีตราวกับจับวาง ซึ่งหินบางก้อนมีน้ำหนักมากถึง 4,000 ตันเลยทีเดียว และที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นคือ หินเหล่านี้ทับซ้อนกันสูงกว่า 40 เมตร โดยนักโบราณคดีสันนิษฐานว่ากำแพงหินดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว และไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะในบริเวณนั้นไม่มีร่องรอยของการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาในลักษณะที่ใกล้เคียงกับกำแพงหินนี้ที่ว่านี้มาก่อนเลย และหินเหล่านี้มีพื้นผิวที่เรียบเนียน มีเหลี่ยมมุมที่ลงตัวจนน่าสงสัย ซึ่งรูปทรงดังกล่าวคล้ายกับวิธีการก่ออิฐของมนุษย์ในยุคโบราณ หากแต่นักโบราณคดีมิอาจทราบได้ว่า ใครกันคือผู้สร้างกำแพงหินเหล่านี้ สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใดและใช้วิธีการใดในการเคลื่อนย้ายหินที่มีน้ำหนักมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนในยุคสมัยนั้นจะมีเครื่องทุ่นแรงใดๆ มาช่วยในการเคลื่อนย้ายหินขนาดมหึมาเหล่านี้ได้

นอกจากความมหัศจรรย์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว นักธรณีวิทยาที่เดินทางไปสำรวจกำแพงหินลึกลับแห่งนี้พบว่า เมื่อใดก็ตามที่เข้าใกล้กำแพงหิน เข็มทิศที่พวกเขานำติดตัวไปด้วยเกิดทำงานผิดปกติ กล่าวคือเข็มทิศจะไม่สามารถชี้ไปยังทิศที่ตั้งของกำแพงหินได้ แต่มันดันหันเหออกไปยังทิศอื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งผลงานการสร้างของผู้มีอารยธรรมและภูมิปัญญาอันสูงส่งที่เหนือกว่ามนุษย์ เรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาที่คงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
อีกหนึ่งเรื่องราวปริศนาของกำแพงหินขนาดใหญ่สุดลึกลับ ที่เชื่อกันว่าเป็นผลงานการสร้างของมนุษย์ในยุคโบราณ แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เพราะด้วยความใหญ่โตมโหฬารของกำแพงหินดังกล่าว คงไม่น่าจะใช่ผลงานการสร้างของมนุษย์ แต่น่าจะเป็นฝีมือของผู้ที่มาจาก ‘นอกโลก’ เสียมากกว่า!
‘Gornaya Shoria’ คือชื่อของกำแพงหินสุดลึกลับที่ว่า ตั้งอยู่บริเวณหุบเขา Shoria (Mount Shoria) ทางตอนใต้ของไซบีเรีย ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 2013 โดย Georgy Sidorov นักสำรวจชาวรัสเซีย กำแพงหินดังกล่าวประกอบไปด้วยหินซึ่งมีน้ำหนักหลายพันตัน ซ้อนทับกันอย่างประณีตราวกับจับวาง ซึ่งหินบางก้อนมีน้ำหนักมากถึง 4,000 ตันเลยทีเดียว และที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นคือ หินเหล่านี้ทับซ้อนกันสูงกว่า 40 เมตร โดยนักโบราณคดีสันนิษฐานว่ากำแพงหินดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว

และไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะในบริเวณนั้นไม่มีร่องรอยของการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาในลักษณะที่ใกล้เคียงกับกำแพงหินนี้ที่ว่านี้มาก่อนเลย และหินเหล่านี้มีพื้นผิวที่เรียบเนียน มีเหลี่ยมมุมที่ลงตัวจนน่าสงสัย ซึ่งรูปทรงดังกล่าวคล้ายกับวิธีการก่ออิฐของมนุษย์ในยุคโบราณ หากแต่นักโบราณคดีมิอาจทราบได้ว่า ใครกันคือผู้สร้างกำแพงหินเหล่านี้ สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใดและใช้วิธีการใดในการเคลื่อนย้ายหินที่มีน้ำหนักมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนในยุคสมัยนั้นจะมีเครื่องทุ่นแรงใดๆ มาช่วยในการเคลื่อนย้ายหินขนาดมหึมาเหล่านี้ได้

นอกจากความมหัศจรรย์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว นักธรณีวิทยาที่เดินทางไปสำรวจกำแพงหินลึกลับแห่งนี้พบว่า เมื่อใดก็ตามที่เข้าใกล้กำแพงหิน เข็มทิศที่พวกเขานำติดตัวไปด้วยเกิดทำงานผิดปกติ กล่าวคือเข็มทิศจะไม่สามารถชี้ไปยังทิศที่ตั้งของกำแพงหินได้ แต่มันดันหันเหออกไปยังทิศอื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งผลงานการสร้างของผู้มีอารยธรรมและภูมิปัญญาอันสูงส่งที่เหนือกว่ามนุษย์ เรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาที่คงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้นี่คือคำสาปหรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


ชะตากรรมแสนเศร้าของเหล่าผู้ค้นพบ ‘สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้’ นี่คือคำสาปหรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1974 ณ ตำบลหลินถง เมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ประเทศจีน ชายชาวไร่ 7 คน ได้ทำการขุดบ่อน้ำแต่บังเอิญขุดไปเจอหัวของหุ่นดินเผาทหารที่ฝังอยู่ใต้ดินลึก 15 เมตร ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครกล้าแตะต้อง เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นเศียรของพระพุทธรูป และในเวลาต่อมาทางการจีนได้เข้าทำการขุดสำรวจต่อ

 จึงได้พบว่า สิ่งที่ชาวไร่ 7 คนขุดเจอนั่นคือสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซี ฮ่องเต้ (Terracotta Warriors) จักรพรรดิองค์แรกของจีน ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ภายในสุสานมีกองทัพทหารดินเผา พลเดินเท้า พลยิงธนู และพลขับรถม้าศึกมากกว่า 8,000 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย สุสานโบราณแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,180 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว

และเรื่องราวที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้ หาใช่เรื่องราวความเป็นมาของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เป็นเรื่องราวของชายชาวไร่ 7 คน ผู้ค้นพบสุสานที่น้อยคนนักจะรู้ว่า ชีวิตของพวกเขาหลังจากการค้นพบสุสานนั้นต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสราวกับต้องคำสาปก็ไม่ปาน เริ่มจากพื้นที่ไร่นาอันเป็นแหล่งทำมาหากินของพวกเขาถูกรัฐบาลจีนยึด เพื่อปรับเปลี่ยนเป็นหอจัดแสดงหุ่นทหารที่ขุดพบ สร้างลานจอดรถ และร้านกิฟท์ช็อปเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอย่างล้นหลามหลังทราบข่าวการค้นพบ พื้นที่บางส่วนถูกยึดฟรีๆ บางส่วนได้รับเงินชดเชย 300 หยวน หรือราว 12,000 บาท ต่อพื้นที่ 600 ตารางเมตร

 ซึ่งน้อยมากหากเทียบกับรายได้ที่รัฐจะได้มาจากเปิดสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก พวกพ่อค้าและเจ้าหน้าที่ในเมืองต่างร่ำรวยไปตามๆ กัน หากแต่เหล่าผู้ค้นพบทั้ง 7 นั้น ต้องสูญเสียทั้งแหล่งทำมาหากินและวิถีชีวิตที่เคยมีไปตลอดกาล
ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 นาย Yang Puzhi 1 ใน 7 ผู้ค้นพบ วัย 60 ปี ได้ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความจนที่ต้องเผชิญแบบจำยอม และยังมีโรคหัวใจรุมเร้าจนไม่มีเงินรักษา และอีก 3 ปีให้หลัง นาย Yang Wenhai และ นาย Yang Yanxin อีก 2 ผู้คนพบ ก็ได้เสียชีวิตตามกันไปในวัย 50 ปี ทั้งคู่ต้องตายอย่างทรมาน เนื่องจากไม่มีเงินรักษาและไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร

เท่านั้นคือ นาย Yang Quanyi วัย 79 ปี, นาย Yang Peiyan วัย 78 ปี, นาย Yang Zhifa และ นาย Yang Xinman วัย 69 ปี ทั้ง 4 คนนี้ มีหน้าที่คอยเซ็นชื่อในอัลบั้มภาพที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมสุสานด้วยเงินเดือนคนละ 1,000 หยวน หรือราว 4,500 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับพวกเขาเหล่าผู้ค้นพบ และที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือ ทางการจีนไม่เคยบันทึกชื่อหรือภาพของชายชาวไร่ทั้ง 7 คนในฐานะผู้ค้นพบกลุ่มแรกเลย ระบุเพียงแค่ว่าผู้ค้นพบคือชาวไร่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น! หากแต่พวกเขาก็ไม่กล้าเรียกร้องอะไรมาก เพราะกลัวจะมีปัญหากับทางการจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

ภรรยาของหนึ่งในผู้ค้นพบกล่าวว่า ‘สามีของเธอเกิดความสงสัยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า พวกเขาไม่น่าไปขุดเจอสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เลย น่าจะปล่อยให้จมดินอยู่เช่นเดิม มิเช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเขาน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้เยอะเลยเชียว นึกแล้วก็ได้แต่เสียดาย’

เคยมีสำนักข่าวชื่อดังได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า เหตุใดเหล่าผู้ค้นพบจึงไม่ได้รับเครดิตจากทางรัฐบาลเลย ทางเจ้าที่ก็ตอบกลับมาว่า
‘ไม่สำคัญว่าใครเป็นผู้ค้นพบ รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลและปกป้องเฉพาะสิ่งที่ค้นพบเท่านั้น!

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

เจนัส เทพสองหน้าของโรมัน

(จากภาพซ้าย-ขวา วิหารแห่งเจนัส)
เจนัสเทพเจ้าแห่งสงครามและสันติภาพ 
เจนัส : เทพสองหน้าของโรมัน  
เจนัสเป็นเทพเจ้าแห่งอดีตและอนาคต เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่มีความก้าวหน้าทั้งหลาย หรือการเปลี่ยนจากสภาวะอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่ง เป็นตัวแทนของการไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปีเก่า และมองไปข้างหน้าในปีใหม่ หรือความเปลี่ยนแปลงใดอื่น

ทำนองนี้ ด้วยเหตุนี้ละครับ เจนัสจึงเป็นเทพสองหน้าซึ่งหมายถึงการเล็งแลไปสู่อนาคตและการเหลียวมองอดีต หากจะว่าถึงต้นตำนานรากเหง้าของเทพเจ้าเจนัสเองก็ดูค่อนข้างแตกต่าง ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดใด หลายกระแสเชื่อว่าเจนัสเป็นเทพเจ้าโรมันแท้ ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับตำนานกรีกเลย แต่หลายกระแสก็ว่ามีกำเนิดมาจากกรีก

ในตำนานหนึ่งกล่าวว่า เดิม เจนัสเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาที่มาจากแผ่นดินเธสสาลีนี่ละ เขาได้รับการเชื้อเชิญเข้ามายังอาณาเขตละติอุมโดยเจ้านางคามิส (Camese) ทั้งสองแต่งงานกัน ร่วมครองราชอาณาจักรด้วยกัน มีโอรสธิดาด้วยกันหลายคน (ทิเบริอุส-เทพเจ้าแห่งแม่น้ำไทเบอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น) เมื่อคามิสตาย เจนัสกลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรเพียงคนเดียว และยอมให้สร้างเทวาลัยของแซทเทิร์น (พระเสาร์) เมื่อเทพเจ้าโบราณซึ่งในตำนานเดิม (ของกรีก) หนีจูปีเตอร์ (หรือก็คือซูส) มาหลบภัย

เมื่อเป็นราชะองค์แรกของละติอุม เจนัสทำให้เกิดสันติ อวยความอุดมสมบูรณ์แก่ประชาชนของตน ทำให้โรมันเจริญจนเรียกกันว่าเป็นยุคทอง เขาแนะนำให้คนรู้จักเงิน การเพาะปลูกในไร่และกฎหมาย ยังมีการพูดในภายหลังว่า เขาแต่งงานกับนางไม้ชื่อ จูเธอร์นา ซึ่งมีน้ำพุและแท่นบูชาของนางตั้งอยู่ใกล้กับวิหารของเขาในฟอรัมแห่งโรม ลูกของเขาคนหนึ่งคือ ฟอนส์ (หรือรู้จักกันในนาม ฟอนตัส) เทพแห่งน้ำพุ หลังจากเขาตาย เจนัสได้รับการประกาศให้เป็นเทพ กลายเป็นผู้คุ้มครองเมืองตั้งแต่นั้น

คนโรมันให้ความสำคัญแก่เทพเจ้าเจนัสมากพอๆ กับเทพเจ้าหลายองค์ที่รับมาจากกรีก (แล้วเปลี่ยนชื่อให้ดูเป็นโรมั้นโรมันซะ) ในเมื่อเป็นเทพเจ้าการควบคุมการขึ้นต้นและลงท้าย...
ไม่ว่าอะไร บวกกับการที่ชาวโรมันเป็นชาติส่งออกการรบ เจนัสจึงควบคุมสงครามและสันติภาพ ไปโดยปริยาย (ควบคุมการขัดแย้งและช่วงจบของการขัดแย้งครับ) และต่อมายังกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามรบอย่างอัตโนมัติ ว่ากันว่า ประตูของวิหารจะเปิดค้างไว้ในช่วงเวลาสงคราม และจะปิดก็เมื่อสงครามจบเพื่อเป็นเครื่องหมายของสันติภาพ

ในโรม วิหารที่สร้างเพื่อเจนัสมีมากมายแต่แห่งสำคัญที่รู้จักกันคือ  ไอเอนัส เจอมินัส (หรือเจนัส เจมินัส) วิหารนั้นมีประตูสองด้านตรงกันข้าม 
(ประตูด้านหนึ่งหันไปหาทิศตะวันขึ้น อีกด้านหนึ่งเป็นทิศตะวันตก) ก่อสร้างไว้ที่ฟอรัม โรมานัม ตรงประตูที่นักรบโรมันเดินขบวนออกไปทำสงคราม ตามที่ ‘ลีวี’ นักประวัติศาสตร์โรมันว่าไว้ว่า 
ประตูเทวาลัยเจนัสแทบจะไม่เคยปิด ยกเว้นเพียงสองครั้งและเป็นสองครั้งชนิดระยะยาว ระหว่างสมัยของนูมา ปอมปิลิอัส (ศตวรรษที่ ๗ ก่อนคริสต์ศักราช) และออกัสตุส (ศตวรรษที่ ๑ ก่อนคริสต์ศักราช)

เจนัสมีบทบาทสำคัญในศาสนาของโรม ได้รับนับถือและได้รับความเคารพสูงสุดจนอาจเห็นรูปสลักใบหน้าคู่หันทิศตรงกันข้ามได้ในเมืองใหญ่และตามเหรียญของโรมันมากมายและหลายแบบอีกต่างหาก บางที่ เทวรูปเจนัสเป็นรูปสลักของบุรุษผู้เต็มไปด้วยเคราส่วนอีกหน้าหนึ่งโกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลา มันอาจเป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หรืออาวุโสกับอ่อนเยาว์ก็ได้ ภายหลัง เจนัสแสดงได้ด้วยรูปสลักที่มีเคราทั้งสองหน้าและมักถือกุญแจในมือขวา แถมในบางที่รูปสลักเจนัส (ราวศตวรรษที่ ๒) ก็ปรากฏเป็นรูปสี่หน้าก็ได้เช่นกัน

เล่ามาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงจะเห็นแล้วว่า เจนัสเป็นที่เคารพในบ้านเมืองโบราณมากเพียงใด สุดท้ายของท้ายสุดก็เพียงจะเล่าสรุปว่า คนโรมันยกย่องให้เดือนแรกของปีใช้นามของเขาและใช้กันมาถึงปัจจุบันนี้ ชื่อเจนัส-Janus ก็คือชื่อ January –มกราคม เดือนแรกของปี...(จบ)....✎
ที่มา : http://www.gypzyworld.com/article/view/342

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ชมกลไกป้องกันโจรขุดสมบัติภายในมหาพีระมิดแห่งกิซ่าที่ถูกจำลองขึ้นใหม่

ชมกลไกป้องกันโจรขุดสมบัติภายในมหาพีระมิดแห่งกิซ่าที่ถูกจำลองขึ้นใหม่
ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างระบบกลไกที่ละเอียดอ่อนโดยใช้แท่งหิน ร่อง และทางลาดภายในมหาพีระมิดแห่งกิซ่าเพื่อปกป้องสุสานของกษัตริย์จากพวกโจรนักล่าขุมทรัพย์

Mark Lehner นักอียิปต์วิทยาที่ปัจจุเป็นเป็นหัวหน้าสมาคมวิจัยอิยิปต์โบราณ (Ancient Egypt Research Associates – AERA) ซึ่งเป็นทีมงานที่ได้ทำการขุดสำรวจที่มหาพีระมิดแห่งกิซ่าเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ได้อธิบายการทำงานของระบบดังกล่าวซึ่งเขาเรียกมันว่า “กลไกแบบดั้งเดิม” ในรายการ “Unearthed” ทางช่อง Science Channel

นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าสุสานของกษัตริย์ยังเก็บรักษาพระศพของฟาโรห์คูฟู (ครองราชย์ระหว่าง 2551-2528 ปีก่อนคริสตศักราช) ผู้สร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่าซึ่งเป็นพีระมิดที่สูงที่สุดในอียิปต์ นอกจากสุสานของกษัตริย์แล้วภายในมหาพีระมิดยังมีสุสานขนาดใหญ่อื่นอีก 2 แห่ง เรียกว่าสุสานราชินี และสุสานใต้ดิน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าทั้งสองห้องใช้สำหรับทำอะไร

เพื่อปกป้องสุสานของฟาโรห์ ชาวอียิปต์โบราณสร้างร่องและแท่งหินซ่อนอยู่ใต้ผนังของพีระมิด ซึ่งนักวิชาการได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่ในครั้งนี้รายการโทรทัศน์ได้ใช้คอมพิวเตอร์แอนิเมชันจำลองการสร้างและวิธีการทำงาน ภาพเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นแท่งหิน 3 แท่งถูกแขวนอยู่ในร่องตอนที่สร้างพีระมิด

หลังเสร็จพิธีฝังพระศพฟาโรห์ระบบจะทำการปล่อยแท่งหินลงมาปิดทางเข้าสุสาน และแท่งหินอีก 3 แท่งจะถูกปล่อยให้ไหลตามทางลาดลงมาปิดช่องทางเดินเข้าสู่สุสาน
คุณสามารถเห็นการทำงานของมันในวิดีโอข้างล่าง

แต่มันยังมีกลอุบายมากกว่านี้ มีการพบช่องทางเดินเล็กๆอีก 4 ช่อง มี 2 ช่องเริ่มจากสุสานกษัตริย์ อีก 2 ช่องเริ่มจากสุสานราชินี หุ่นยนต์ได้ถูกส่งลงไปสำรวจช่องทางเดินนี้และได้พบประตู 3 บานที่มีมือจับเป็นทองแดง

Zahi Hawas อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ บอกว่าเขาคิดว่าทางเดินเล็กๆนี้จะนำไปสู่ห้องฝังพระศพฟาโรห์คูฟูที่แท้จริง โลงหินในสุสานของกษัตริย์เป็นกลอุบายหลอกนักล่าสมบัติให้คิดว่าพบหลุมศพฟาโรห์แล้ว
“ผมเชื่อจริงๆว่าห้องฝังพระศพฟาโรห์คูฟูยังไม่ได้ถูกค้นพบเลย และห้องทั้งสามเป็นเพียงการหลอกลวงพวกหัวขโมย และทรัพย์สมบัติของฟาโรห์คูฟูยังคงซ่อนอยู่ภายในพีระมิด” Hawass กล่าว

นักอียิปต์วิทยาหวังว่าการสำรวจพีระมิดครั้งใหม่ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดยการใช้การสแกนด้วยเรดาร์ อินฟาเรด และรังสีคอสมิก จะช่วยให้พบกับห้องสุสานที่ซ่อนอยู่

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ปริศนาถูกไข ค้นพบซากเรือกองทัพอังกฤษที่หายไปเกือบ 170 ปี


ปริศนาถูกไข ค้นพบซากเรือกองทัพอังกฤษที่หายไปเกือบ 170 ปี
แคนาดาพบแล้ว 1 ใน 2 ซากเรือของกองทัพอังกฤษที่หายสาบสูญขณะแล่นสำรวจดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ภายใต้ภารกิจสำรวจดินแดน
ของเซอร์จอห์น แฟรงคลิน (SirJohnFrankllin)
เมื่อเกือบ 2 ศตวรรษที่แล้ว พบจมอยู่ใกล้เกาะคิงวิลเลียม
(King Willian Island)
ในมหาสมุทรอาร์กติก
          
วันที่ 10 กันยายน 2557 มีรายงานจากเว็บไซต์เดอะการ์เดียน  ว่า นายสตีเฟน ฮาร์เปอร์ (Stephen Harper) นายกรัฐมนตรีของแคนาดา ได้แถลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (9 ก.ย.) ถึงการค้นพบ 1 ใน 2 ซากเรือสำรวจทะเลของกองทัพเรืออังกฤษที่สูญหายอย่างเป็นปริศนาเกือบ 170 ปีก่อน อันนับเป็นค้นพบครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ และยิ่งใหญ่มากสำหรับแคนาดา แม้ว่าจะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเรืออีเรบัส (Erabus) หรือเทอร์เรอร์ (Terror) ก็ตาม
          
ภารกิจเดินเรือสำรวจสมุทรทางตะวันตกเฉียงเหนือของเซอร์จอห์น แฟรงคลิน เริ่มต้นในปี 2388 โดยอาศัยเรือ 2 ลำ คือ อีเรบัสและเทอร์เรอร์ ก่อนจะหายไปไม่มีใครค้นพบอีกเลยในปีถัดมา มีความพยายามออกตามหาเรือทั้งสองอยู่นานแต่ก็ไม่ประสบผล จนกระทั่งถูกยกเลิกภารกิจไปในปี 2402 ในช่วงระยะเวลาหลังจากนั้นก็มีการค้นพบร่องรอยของลูกเรือบนเรือทั้งสองอยู่บ้าง แต่ไม่อาจสืบไปถึงตำแหน่งของเรือได้
          
อย่างไรก็ดีการออกเดินทางสำรวจดินแดนที่ไกลออกไปทางตอนเหนือของโลกของอังกฤษ นับเป็นครั้งแรกของการบุกเบิกสำรวจดินแดนส่วนนี้ แม้ว่าการล่องเรือข้ามมหาสมุทรไปยังดินแดนทางตอนเหนือจะเพิ่งทำได้สำเร็จในอีก 58 ปีให้หลังก็ตาม ซึ่งมีผลสำคัญต่อการสำรวจพื้นที่่มหาสมุทรอาร์กติกของแคนาดาในเวลาต่อมา
  
นักโบราณคดีและนักประดาน้ำของแคนาดาได้จุดโครงการค้นหาซากเรือสำรวจดินแดนของกองทัพอังกฤษอีกขึ้นครั้งในปี 2551 หลังรัฐบาลแคนาดามีความพยายามในการอ้างสิทธิ์เหนือน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือ
          

ทั้งนี้ซากเรือลำดังกล่าวถูกพบเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากเพิ่งค้นพบซากข้อต่อเหล็กที่เป็นส่วนประกอบของเรือมาก่อนหน้านั้น โดยเรือจมในลักษณะจอดนิ่ง อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำเพียง 11 เมตร ใกล้กับเกาะเซอร์วิลเลียม ภาพจากคลื่นโซนาร์เผยให้เห็นซากเรือยังอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ โดยเสากระโดงเรือได้หักออกไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า เมื่อ 168 ปีก่อน เรืออาจแล่นมาติดน้ำแข็งที่เกาะแห่งนี้ และลูกเรือได้สละเรือทิ้งแล้วออกเดินทางต่อไปบนดินแดนน้ำแข็ง ส่วนการค้นหาร่องรอยของเหล่าลูกเรืออาจเป็นไปได้ยาก เพราะบรรดาลูกเรือคงเดินทางต่อไปอีกไกล อีกทั้งชาวข้อมูลจากชาวไอนุท (Inuit) ที่อาศัยบนดินแดนน้ำแข็งในตอนนั้นก็ชี้ทิศการเดินทางของลูกเรือไม่ตรงกันด้วย

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

นักวิทย์คาด บรรพบุรุษ คนแคระ ตัวหดเล็กลงในช่วงระยะเวลาไม่นานหลังเหยียบเกาะฟลอเรสในอินโดฯ

แฟ้มภาพถ่ายเมื่อ 27 ตุลาคม 2004 เป็นภาพถ่ายเปรียบเทียบขนาดกระโหลกคนแคระหรือฮอบบิต (กลาง) ซึ่งถูกพบเมื่อปี 2003 บนเกาะฟลอเรสประเทศอินโดนีเซีย 
นักวิทยาศาสตร์พบซากกระดูกสิ่งมีชีวิตที่คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของคนแคระ (Hobbit; มนุษย์ดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Homo floresiensis) บนเกาะฟลอเรส ประเทศอินโดนีเซีย อายุกว่า 7 แสนปี

กระดูกที่พบประกอบด้วยกระดูกกรามของผู้ใหญ่หนึ่งชิ้น และฟันจากมนุษย์อย่างน้อย 3 คน รวมถึงฟันน้ำนม 2 ชิ้นที่เป็นของทารกคนละคน
ยูสึเกะ ไคฟุ (Yousuke Kaifu) 

นักบรรพชีวินวิทยาและมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสาขาธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นกล่าวว่า “ฟอสซิลทั้งหมดที่พบมีลักษณะของมนุษย์วานร (hominin) อย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็คล้ายกับ Homo floresiensis เป็นอย่างมาก” 
(Live Science)
“สิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือขนาดของกระดูกที่พบแสดงว่า Homo floresiensis มีขนาดเล็กมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่เมื่อ 700,000 ปี ก่อน” ไคฟุกล่าว

ทั้งนี้ Homo floresiensis ถูกพบเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2003 คาดกันว่ามนุษย์วานรกลุ่มนี้อาศัยอยู่บนโลกเมื่อราว 60,000-100,000 ปีก่อน และน่าจะวิวัฒนาการมาจาก Homo erectus ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่เช่นกัน

“เราคาดว่าจะพบกระดูกที่ใหญ่กว่าที่เราเจอ อย่างน้อยก็ควรจะใกล้เคียงกับขนาดของต้นตระกูลของมันอย่าง Homo erectus แต่ปรากฏว่ามันกลับมีขนาดเล็ก หรืออาจจะเล็กว่า 
Homo floresiensis ซะอีก” ดร.เกิร์ต ฟาน เดน เบิร์ก (Gert van den Bergh) หัวหน้าคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโวลลองกอง (Wollongong) ประเทศออสเตรเลียกล่าว

“การวิวัฒนาการเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เราก็ไม่ตัวอย่างของมนุษย์หรือลิงใหญ่ (ที่หดเล็กลง) จากเกาะอื่นๆมาเปรียบเทียบ”
การหดเล็กของของมนุษย์ดึกดำบรรพ์บนเกาะฟลอเรส มาจากทฤษฎีว่าด้วยการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจำกัด แต่ Homo erectus เป็นมนุษย์ยุคแรกซึ่งไม่สามารถสร้างเรือได้และเกาะฟลอเรสก็ไกลจากเกาะชวาเกินกว่าที่พวกเขาจะว่ายน้ำไปถึงได้ ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า มนุษย์บรรพกาลกลุ่มนี้อาจถูกคลื่นยักษ์พัดพาเข้าไปติดเกาะ

นักวิทย์คาด บรรพบุรุษ “คนแคระ” ตัวหดเล็กลงในช่วงระยะเวลาไม่นานหลังเหยียบเกาะฟลอเรสในอินโดฯ

นักวิทยาศาสตร์พบซากกระดูกสิ่งมีชีวิตที่คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของคนแคระ (Hobbit; มนุษย์ดึกดำบรรพ์ขนาดเล็กมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Homo floresiensis) บนเกาะฟลอเรส ประเทศอินโดนีเซีย อายุกว่า 7 แสนปี

กระดูกที่พบประกอบด้วยกระดูกกรามของผู้ใหญ่หนึ่งชิ้น และฟันจากมนุษย์อย่างน้อย 3 คน รวมถึงฟันน้ำนม 2 ชิ้นที่เป็นของทารกคนละคน
ยูสึเกะ ไคฟุ (Yousuke Kaifu) นักบรรพชีวินวิทยาและมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสาขาธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นกล่าวว่า “ฟอสซิลทั้งหมดที่พบมีลักษณะของมนุษย์วานร (hominin) อย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็คล้ายกับ Homo floresiensis เป็นอย่างมาก” (Live Science)
“สิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือขนาดของกระดูกที่พบแสดงว่า Homo floresiensis มีขนาดเล็กมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่เมื่อ 700,000 ปี ก่อน” ไคฟุกล่าว

ทั้งนี้ Homo floresiensis ถูกพบเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2003 คาดกันว่ามนุษย์วานรกลุ่มนี้อาศัยอยู่บนโลกเมื่อราว 60,000-100,000 ปีก่อน และน่าจะวิวัฒนาการมาจาก Homo erectus ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่เช่นกัน
“เราคาดว่าจะพบกระดูกที่ใหญ่กว่าที่เราเจอ อย่างน้อยก็ควรจะใกล้เคียงกับขนาดของต้นตระกูลของมันอย่าง Homo erectus แต่ปรากฏว่ามันกลับมีขนาดเล็ก หรืออาจจะเล็กว่า Homo floresiensis ซะอีก” ดร.เกิร์ต ฟาน เดน เบิร์ก (Gert van den Bergh) หัวหน้าคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโวลลองกอง (Wollongong) ประเทศออสเตรเลียกล่าว

“การวิวัฒนาการเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เราก็ไม่ตัวอย่างของมนุษย์หรือลิงใหญ่ (ที่หดเล็กลง) จากเกาะอื่นๆมาเปรียบเทียบ”
การหดเล็กของของมนุษย์ดึกดำบรรพ์บนเกาะฟลอเรส มาจากทฤษฎีว่าด้วยการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจำกัด แต่ Homo erectus เป็นมนุษย์ยุคแรกซึ่งไม่สามารถสร้างเรือได้และเกาะฟลอเรสก็ไกลจากเกาะชวาเกินกว่าที่พวกเขาจะว่ายน้ำไปถึงได้ ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า มนุษย์บรรพกาลกลุ่มนี้อาจถูกคลื่นยักษ์พัดพาเข้าไปติดเกาะ

ขณะที่ศาสตราจารย์ คริส สตริงเกอร์ (Cris Stringer) มองว่าสิ่งที่พบจะถือเป็นหลักฐานของทฤษฎีที่อ้างว่าการวิวัฒนาการคล้ายเป็นคนแคระเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นยังอ่อนเกินไป
“เรายังไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่รู้จักสร้างเครื่องมือเมื่อล้านปีก่อนตัวใหญ่แค่ไหนอย่างแน่ชัด เพราะเรายังไม่เจอฟอสซิลของพวกเขาเลย ลำดับต่อไปก็คือเรายังไม่อาจแน่ใจได้ว่า (หากมีการพบ) หลักฐานจากล้านปีก่อน แล้วจะถือได้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์กลุ่มแรกบนเกาะฟลอเรส” สตริงเกอร์กล่าว (BBC)

(หมายความว่า ต่อให้พบซากกระดูกอายุล้านปี แต่ก็อาจจะพบกระดูกที่เก่าแก่กว่านั้นได้ ซึ่งยากต่อการสรุปว่า ระยะเวลาของการวิวัฒนการกินเวลานานเท่าไรแน่)
ข้อมูลจาก:
 “Miniature ‘Hobbit’ Humans Had Even Smaller Ancestors”. Live Science.

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความเหมือนที่แตกต่างของมนุษย์กับหุ่นยนต์


ความเหมือนที่แตกต่างของมนุษย์กับหุ่นยนต์
แม็กซ์ อากิเรลา-เฮลเวก ช่างภาพชื่อดังชาวอเมริกัน เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า "Humanoid" ซึ่งค้นหาความหมายของการเป็นมนุษย์ ด้วยการเดินทางไปรอบโลกเพื่อถ่ายภาพของหุ่นยนต์ประเภทต่าง ๆ เช่น "แอนดรอยด์" ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์ "ฮิวแมนนอยด์" หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีพื้นฐานมาจากร่างกายมนุษย์ สามารถเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์ และ "เจมินอยด์" ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่เลียนแบบคนจริงทุกประการ

หนึ่งในประเทศที่ อากิเรลา-เฮลเวก เดินทางไปถ่ายภาพสำหรับหนังสือเล่มนี้คือญี่ปุ่น ซึ่งมีเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเขาได้ร่วมงานกับ ศ.ฮิโรชิ อิชิกุโร ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์จากมหาวิทยาลัยโอซากา ผู้พัฒนาหุ่นเจมินอยด์และบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นเป็นคนแรก

ศ.อิชิกุโร สร้างหุ่นยนต์เลียนแบบตัวเอง ที่เรียกว่า "เจมินอยด์" เพื่อศึกษาการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และหุ่นยนต์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ต่อไปหุ่นยนต์จะถูกพัฒนาให้เหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออก
ปัจจุบันหลายประเทศได้หันมาให้ความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ สำหรับนำมาช่วยงานของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ 

โดยเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทแฮนสัน โรบอติกส์ ในฮ่องกง ได้เปิดตัว "โซเฟีย" หุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบให้มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับดาราฮอลลีวูดผู้ล่วงลับ ออเดรีย เฮปเบิร์น ทั้งยังมีลักษณะและอากัปกิริยาคล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยบริษัทตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะสร้างหุ่นยนต์ที่มีความเฉลียวฉลาดเกินคน เข้าอกเข้าใจ และเห็นใจคนอื่นขึ้นมาได้สำเร็จ

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

หนึ่งในภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้ได้แตกตัวจากทวีปแอนตาร์กติกา


หนึ่งในภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้ได้แตกตัวจากทวีปแอนตาร์กติกา
แผ่นน้ำแข็งมหึมาแตกตัวออกจากบริเวณชั้นน้ำแข็งที่เรียกว่า "ลาร์เซน ซี" บนทวีปแอนตาร์กติกา กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งที่มีความหนา 200 เมตรและกินพื้นที่ 6,000 ตร. กม. แม้ว่าภูเขาน้ำแข็งนี้จะเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ และไปไม่ไกลนัก กระแสน้ำและลมอาจจะพัดพามันไปทางตอนเหนือของทวีปแอนตาร์กติกา และเป็นอันตรายต่อการเดินเรือขนส่งในที่สุด

การแตกตัวนี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้หลังจากติดตามเฝ้าดูรอยร้าวขนาดใหญ่บนชั้นน้ำแข็งนี้มากว่า 10 ปี โดยรอยแตกนี้เริ่มขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วตั้งแต่ ปี 2014
รอยแยกผืนน้ำแข็งลาร์เซ่นขยายตัวต่อเนื่อง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เครื่องมือจับสัญญาณอินฟราเรดบนดาวเทียมอะควา (Aqua)

ของสหรัฐอเมริกาเผยให้เห็นน้ำใสบริเวณรอยแยกระหว่างชั้นน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็ง โดยน้ำบริเวณนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำแข็งและ
อากาศรอบ ๆ

ศ.เอเดรียน ลัคแมน จากมหาวิทยาลัยสวอนซี ผู้ติดตามปรากฏการณ์นี้อย่างใกล้ชิดบอกว่า เห็นได้ชัดเจนว่าแผ่นน้ำแข็งได้แยกตัวออกจากชั้นน้ำแข็งแล้วตลอดแนวแล้ว

นักวิทยาศาสตร์คิดว่า ชั้นน้ำแข็งลาร์เซน ซี อยู่ในช่วงที่มีขนาดเล็กที่สุด นับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเมื่อปี 11,700 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม การแยกตัวของแผ่นน้ำแข็งในลักษณะนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ภูเขาน้ำแข็งที่แตกตัวแยกไปเพื่อที่ผืนน้ำแข็งจะสามารถคงน้ำหนักที่สมดุลไว้ได้เมื่อมีการสะสมของหิมะที่ตกลงมาใหม่และธารน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวมาเพิ่ม

เคยมีแผ่นน้ำแข็งแยกตัวออกมาจาก "ลาร์เซน ซี" มาแล้วในอดีต อาทิ แผ่นน้ำแข็งขนาดราว 9,000 ตารางกิโลเมตรที่แยกตัวออกมาเมื่อปี 1986
อย่างไรก็ตาม ภูเขาน้ำแข็งก่อนใหม่นี้ยังถือว่ามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับภูเขาน้ำแข็งก้อนอื่น ๆ ที่เคยพบบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา ตัวอย่างเช่น แผ่นน้ำแข็งที่ชื่อว่า "B-15" ซึ่งแยกตัวจากผืนน้ำแข็งรอส เมื่อปี 2000 และมีขนาดราว11,000 ตารางกิโลเมตร และยังพบเศษเสี้ยวของแผ่นน้ำแข็งนี้เคลื่อนตัวผ่านไปบริเวณประเทศนิวซีแลนด์ นี่นับเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่เคยถูกบันทึกไว้ในยุคที่มีเทคโนโลยีดาวเทียม
ภาพการแยกตัวของแผ่นน้ำแข็งได้รับการยืนยันจาก
ระบบดาวเทียมเซนทิเนล-1
ในปี 1956 มีรายงานว่า เรือสำหรับทลายก้อนน้ำแข็งของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาพบแผ่นน้ำแข็งขนาดราว 32,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าประเทศเบลเยียมเสียอีก แต่นั่นเป็นยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีดาวเทียมบันทึกไว้ได้
เมื่อช่วงขึ้นศตวรรษที่ผ่านมา ผืนน้ำแข็งใกล้เคียงของลาร์เซน ซี สองผืนอย่าง ลาร์เซน เอ และ ลาร์เซน บี ได้สลายตัวไปและมีความเป็นไปได้สูงที่ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ศ.เฮเลน ฟริคเกอร์ จากสถาบันวิจัยทางสมุทรศาสตร์ Scripps บอกกับบีบีซีว่า ไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลาร์เซน เอ และ ลาร์เซน บี จะเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลาร์เซน ซี และผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็งไม่ได้กังวลมากนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับตอนนี้ นักวิจัยจะคอยเฝ้าสังเกตุการณ์ว่าชั้นน้ำแข็งลาร์เซน ซี จะมีปฏิกริยาอย่างไรต่อไป ว่าความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และการแยกตัวของแผ่นน้ำแข็งจะดำเนินต่อไปด้วยอัตราคงที่หรือไม่

ซากฟอสซิลชี้ไดโนเสาร์บางพันธุ์ฟันร่วงหมดปากเมื่อโต


ซากฟอสซิลชี้ไดโนเสาร์บางพันธุ์ฟันร่วงหมดปากเมื่อโตไดโนเสาร์ละอ่อนกินเนื้อ ส่วนพวกโตเต็มวัยกินผักแทน

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคปิตอล นอร์มัล ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งศึกษาฟอสซิลไดโนเสาร์ ชื่อ Limusaurus inextricabilis ที่อาศัยอยู่ในจีนเมื่อราว 150 ล้านปีที่แล้ว พบว่า ไดโนเสาร์ชนิดนี้ใช้ฟันในการขบเคี้ยวเนื้อสัตว์ และใช้จะงอยปากในการจิกกินพืชผักเมื่อมันโตขึ้น จากเดิมที่เข้าใจว่าไดโนเสาร์ในตระกูลเซราโทซอเรียนนี้มีทั้งประเภทที่มีฟันและไม่มีฟัน และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก 

อย่างไรก็ดี ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาซากฟอสซิลพบว่าแท้จริงแล้วฟันของไดโนเสาร์
ชนิดนี้จะหลุดร่วงลงไปตามกาลเวลา การค้นพบดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้นักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง

ดร.สตีเฟน บรูเซทท์ แห่งมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบดังกล่าว กล่าวว่า ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีไดโนเสาร์ที่เคยมีฟันเมื่อยังเป็นลูกไดโนเสาร์ตัวเล็ก ๆ แต่ฟันหลุดร่วงไปจนเหลือเพียงจะงอยปากเมื่อโตขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยพบมาก่อนในซากสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ยกเว้นสัตว์อย่างตัวตุ่นปากเป็ดในโลกยุคปัจจุบันที่มีพัฒนาการเกี่ยวกับฟันในลักษณะดังกล่าว
ด้าน ดร.สติก เวลช์ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ กล่าวว่า ไดโนเสาร์เปลี่ยนการกินอาหารจากที่ต้องใช้ฟันในการขบเคี้ยวเป็นการใช้จงอยปากเท่านั้นซึ่งฟันไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ในขณะที่ไดโนเสาร์เทอโรพอดชนิดอื่นซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไดโนเสาร์ลิมูซอรัสนี้ ล้วนเป็นไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ไดโนเสาร์ลิมูซอรัส เป็นไดโนเสาร์ในตระกูลเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดที่เป็นที่รู้จักอย่างทีเร็กซ์และเวโลซีแรปเตอร์ 
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไดโนเสาร์ที่มีฟันเมื่อยังเล็กนั้นอาจจะกินทั้งพืชและสัตว์ และใช้จงอยกินพืชอย่างเดียวเมื่อมันโตขึ้น

การค้นพบครั้งนี้ช่วยอธิบายได้ว่าจะงอยปากซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสัตว์จำพวกนก มีวิวัฒนาการมาอย่างไร ในขณะที่การสูญเสียฟันนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสัตว์โลกยุคใหม่ ปลาและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิดไม่มีฟันเมื่อมันโตขึ้น เช่นเดียวกับตุ่นปากเป็ด
งานวิจัยชิ้นนี้เผยแพร่อยู่ในวารสาร 
Current Biology

พบส่วนหางของไดโนเสาร์มีขน ในก้อนอำพันเก่าแก่ 99 ล้านปี


พบส่วนหางของไดโนเสาร์มีขน ในก้อนอำพันเก่าแก่ 99 ล้านปีส่วนหางมีขนของไดโนเสาร์ขนาดเล็ก ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในก้อนอำพันซึ่งพบที่เมียนมา

วารสาร Current Biology ตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบส่วนหางของไดโนเสาร์ขนาดเล็กจากยุคมีโซโซอิก ซึ่งติดอยู่ในก้อนอำพันเก่าแก่ 99 ล้านปี ซึ่งได้จากเมืองมิตจินาในรัฐคะฉิ่นของเมียนมา โดยส่วนหางนี้ยังมีขนติดอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึง
การจัดเรียงตัวของขนไดโนเสาร์ซึ่งยังคงเป็นปริศนาอยู่ก่อนหน้านี้
ภาพจากจินตนาการของศิลปินแสดงให้เห็นไดโนเสาร์มีขนขนาดเล็กเท่านกกระจอกในยุคมีโซโซอิก
ก้อนอำพันดังกล่าวค้นพบโดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้านธรณีวิทยาของจีนในกรุงปักกิ่ง โดยพบในตลาดแห่งหนึ่งของรัฐคะฉิ่นซึ่งเป็นแหล่งผลิตอำพันที่มีชื่อเสียงของเมียนมามายาวนาน ซึ่งก้อนอำพันดังกล่าวถูกเจียระไนให้กลมเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับแล้ว แต่ชิ้นส่วนไดโนเสาร์ด้านในซึ่งผู้ค้านึกว่าเป็นซากพืชยังไม่ได้รับความเสียหาย
ภาพซูมให้เห็นรายละเอียดของขนที่ส่วนหางไดโนเสาร์
จากการตรวจสอบ พบว่าเป็นส่วนหางของไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากับนกกระจอก โดยขนที่พบเรียงตัวอย่างสมบูรณ์ในลักษณะสามมิติ มีสีน้ำตาลที่ส่วนปลายและมีสีขาวที่ด้านใน นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าส่วนหางที่พบนี้เป็นซากของไดโนเสาร์และไม่ใช่ซากของนกโบราณอย่างแน่นอนเพราะมีโครงสร้างแตกต่างกัน ทั้งยังพบว่ามีของเหลวอยู่ในซากหางนี้ด้วย ซึ่งแสดงว่าไดโนเสาร์ตัวนี้อาจจมลงในน้ำยางเหนียวของต้นไม้ที่กลายเป็นอำพันทั้งที่มันยังมีชีวิตอยู่

การค้นพบส่วนหางของไดโนเสาร์ในก้อนอำพันนี้ จะช่วยให้นักบรรพชีวินวิทยามีความเข้าใจถึงการจัดเรียงตัวของขนไดโนเสาร์มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ไม่สามารถทราบถึงข้อมูลในประเด็นดังกล่าวได้ เพราะซากฟอสซิลส่วนใหญ่พบในดินตะกอนที่กลายเป็นหิน ซึ่งจะทำให้แนวขนที่ติดอยู่แบนราบเปลี่ยนไปจากทรงเดิม

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Sayhuite ปริศนาก้อนหินลึกลับในยุคโบราณ


ปริศนา"ก้อนหินลึกลับ"ในยุคโบราณ สร้างขึ้นมาทำไมไม่มีใครรู้ แต่มีรูปทรงเรขาคณิตปรากฎมากกว่า 200 รูปทรง

นี่คือ Sayhuite เป็นหินลึกลับที่มีลายเรขาคณิตมากกว่า 200 ลาย ทั้งยังมีใบหน้าของสัตว์เลื้อยคลานอย่างกบ หรือแม้กระทั่งแมวอยู่อีกด้วย
โดยหินก้อนนี้ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันออกของเมือง Abancay กว่า 47 กิโลเมตร หรืออยู่ห่างจากเมืองกุสโกนาน 3 ชั่วโมง
ก้อนหินถูกตั้งไว้บนเนินเขา มีบ่อน้ำเล็กๆ แม่น้ำ อุโมงค์ และทางน้ำล้อมรอบ ซึ่งนักวิจัยยังคงไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่สร้างมันขึ้นมา

แต่นักวิจัย Dr. Alan Amdrews คาดว่าหินอาจจะถูกนำมาใช้โดยวิศวกรในยุคโบราณเพื่อเป็นต้นแบบการออกแบบและทดสอบระบบการจัดการน้ำ เพราะหินมีร่องรอยการแก้ไขหลายครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำ

ด้วยความแปลกและเป็นปริศนาลึกลับทำให้โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่นักวิจัยบางคนก็เชื่อว่ามันเป็นศูนย์กลางทางศาสนาเพื่อใช้ในการบูชาน้ำและจัดพิธีกรรมเพื่อบูชาน้ำ ร่องรอยการแกะสลักบนหินเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยัน แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น

นอกจากนี้วิศวกรสมัยใหม่ยังคาดอีกด้วยว่าอาจเป็นหินที่สร้างขึ้นโดยชาวอินคา ดังนั้นหินนี้อาจเป็นชิ้นส่วนหนึ่งทางวัฒนธรรมของชาวอินคาที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปแต่อย่างใด และหินนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอีกต่ไป? แล้วคุณล่ะคิดว่ามันคืออะไร

วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พบสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ช่วงรอยต่อยุคไทรแอสสิกจูราสสิก


พบสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ช่วงรอยต่อยุคไทรแอสสิก-จูราสสิก
นักวิทยาศาสตร์พบสาเหตุการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อสิ้นยุคไทรแอสสิก เกิดจากภูเขาไฟจำนวนมากระเบิดพร้อมกัน

การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ หรือ Great Mass Extinction คือการที่สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่หายไปจากโลกในช่วงเวลาหนึ่งเป็นจำนวนมากจนพลิกโฉมหน้าให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์น้อยกว่าที่รอดตายกลับมาขึ้นมาครองโลกในเวลาต่อมา ช่วงเวลา 4,500 ล้านปีที่ผ่านมาเคยเกิดมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ปลายยุคครีเตเชียส(Cretaceous) ราวประมาณ 65 ล้านปีที่แล้ว เป็นการสิ้นสุดยุคไดโนเสาร์

นักวิทยาศาสตร์พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นที่ค่อนข้างแน่นอนว่าครั้งสุดท้ายหรือครั้งที่ 5 ที่เกิดเมื่อปลายยุคครีเตเชียสหรือราวประมาณ 65 ล้านปีก่อนนั้นเกิดจากการพุ่งเข้าชนของอุกกาบาตขนาดยักษ์ แต่สาเหตุของอีก 4 ครั้งก่อนหน้านั้นยังเป็นความมืดมน

ล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดร่วมกับเซาแธมป์ตัน พบร่องรอยที่บอกสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งที่ 4 ที่เกิดตอน 201 ล้านปีก่อนหรือช่วงรอยต่อยุคไทรแอสสิก-จูราสสิกได้แล้ว จากการวิเคราะห์ตะกอนดินที่นำมาจากแหล่งขุดค้น 6 แห่งคือสหราชอาณาจักร ออสเตรีย อาร์เจนตินา กรีนแลนด์ แคนาดาและโมร็อกโก พบว่า 5 ใน 6 แห่งมีปริมาณสารปรอทสูงมาก สัมพันธ์กับปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากในอากาศ ซึ่งทั้งสองอย่างมีความเป็นไปได้สูงว่าจะปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ของภูเขาไฟจำนวนมากมายในช่วงเวลานั้น

ผลของสารปรอทซึ่งเป็นพิษและแก้ส CO2ปริมาณมากทำให้บรรยากาศของโลกไม่เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ในยุคนั้นอันเนื่องมาจากปัญหาทั้งการหายใจและการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ สิ่งมีชีวิตในทะเลและสัตว์บกจำนวนในโดยเฉพาะกลุ่มสัตว์เลื้อคลานได้เกิดการล้มตายเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นการสูญพัธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 4

ที่น่าแปลกใจคือสัตว์จำพวกไดโนเสาร์กลับเหลือรอดจากการสูญพันธุ์ครั้งนั้นมาสู่ยุคถัดไป
คือยุคจูราสสิกและพวกมันก็ทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนครองโลกต่อมาอีกหลายล้านปี เป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบกันต่อไปว่าทำไมไดโนเสาร์ถึงทนต่อสภาวะแบบนั้นได้

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เมฆลึกลับทรงกลม ปรากฏเหนือน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่น


เมฆลึกลับทรงกลม ปรากฏเหนือน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่น

ในชีวิตจริงของคนเรา อาจไม่ได้เห็นเมฆรูปทรงแปลกๆ กันมากมาย แต่ถ้าคุณเคยศึกษาบรรดาเมฆแปลกๆ ชนิดต่างๆ คุณจะพบว่า เมฆแปลกๆ บนโลกเรา มันมีมากมายหลายแบบจริงๆ แต่รับรองว่า คุณจะไม่เคยเห็นเมฆที่มีลักษณะแปลกๆ แบบนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือบนโลกออนไลน์

เมฆทรงกลม ที่คุณได้เห็นในภาพต่อไปนี้ ถูกถ่ายได้โดยหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ใช้ชื่อทวิตเตอร์ว่า @pmxpvrtmx ในเมืองฟูจิซาวะ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคานางาวะ ในขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ในรถยนต์

“เมื่อฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ฉันเห็นเมฆรูปทรงกลมเหมือนลูกบอล ฉันจ้องมันอยู่สักพักจึงรีบถ่ายรูปมันทันที ้ซึ่งตอนที่ฉันเห็นมันทีแรก มันเป็นรูปทรงกลมกว่านี้ แต่ฉันถ่ายรูปเอาไว้ไม่ทัน”

ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศให้ความเห็นว่า เมฆทรงกลมนี้ อาจปราฏการณ์ที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกับเมฆม้วน
(Roll Cloud) เกิดจากกระแสอากาศเย็นที่มาจากลมทะเลพุ่งลงพื้น โดยกระแสอากาศนี้กระจายออกจากทางด้านหน้าของพายุที่กำลังเข้ามา หรือกระจายออกจากทางด้านหลังของพายุที่กำลังสลายตัว
ก่อให้เกิดเป็นเมฆม้วนอย่างที่เห็นในรูป

ในขณะที่คุณ NicoSpqy9ba9 ก็เป็นอีกคนที่แบ่งปันภาพเมฆทรงกลม ให้ชมเช่นกัน
ซึ่งภาพนี้เขาถ่ายเอาไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ที่ผ่านมา

และนี่ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด และหายากมากๆ เพราะแทบจะไม่เคยมีใครเจอเมฆในลักษณะนี้เลย และถ้าคุณคิดว่าเมฆทรงกลมนี้ยังดูธรรมดาๆ สามารถไปชมเมฆแปลกๆ รูปทรงอื่นๆ ได้อีกมากมาย

เมฆรูปร่างแปลกๆ ที่ดูแล้วเหมือน หมาป่า มังกร ก๊อดซิลล่า

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไขปริศนาเกาะลึกลับ


ไขปริศนา “เกาะลึกลับ”
ทางฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย ที่ใครก็ไม่มีวันค้นพบ  

ทะเลที่กว้างใหญ่ของเรานั้นมีเรื่องที่ทำให้เราคาดไม่ถึงอยู่หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดในท้องทะเลที่ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว เรื่องราวของผีที่พบร่องรอยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในท้องทะเล

รวมถึงเรื่องราวของ เกาะปริศนา เช่น หมู่เกาะ Sandy ที่เป็นข้อถกเถียงกันในหมู่นักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์ว่าแท้จริงแล้วนั้นเกาะนี้มีอยู่จริงหรือไม่ แล้วถ้ามีอยู่จริงมันอยู่ที่ไหนกันแน่?
Sandy หมู่เกาะลึกลับกลางทะเล

ประเทศออสเตรเลียหนึ่งในประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นระดับต้นๆ ของโลกและมีสภาพภูมิประเทศที่ทรหดสุดๆ สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นการที่จะพบเกาะใหม่ๆ นั้นอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่สำหรับคนอื่นๆ กลับตรงกันข้ามทุกคนตื่นเต้นที่จะขึ้นไปเหยียบแผ่นดินใหม่

แผนที่หมู่เกาะ Sandy Island ปี 1908
หมู่เกาะที่ว่านี้ก็คือหมู่เกาะแซนดี้ (Sandy Island) ตามที่มีอยู่ในบันทึกการเดินเรือของพวกนักเดินเรือที่เคยเดินทางผ่านเกาะนี้มาก่อน เมื่อเห็นหมู่เกาะใหม่ปรากฏอยู่ใกล้ๆ ออสเตรเลียแล้วแน่นอนว่าการสำรวจย่อมตามมา พวกนักวิทยาศาสตร์ และนักสำรวจต่างพากันไปสำรวจยังหมู่เกาะดังกล่าว แต่ก็ต้องพบกับเรื่องน่าฉงนตรงที่ว่าในบริเวณที่ว่ากับไม่มีหมู่เกาะใดๆ อยู่เลยนอกจากน้ำทะเลล้วนๆ ไม่มีดินผสม

เกาะอยู่ที่ไหน ?
นักวิทยาศาสตร์ นักสมุทรศาสตร์ และ นักสำรวจ ต่างก็พากันมาหาคำตอบรวมกันว่าเกาะที่ว่านี้มันอยู่ที่ไหนกันแน่เพราะจากบันทึกของพวกนักเดินเรือล่าวาฬนั้นได้ระบุเอาไว้ว่าในบริเวณ New Caledonia มีหมู่เกาะตั้งอยู่แน่นอน โดยพวกเขาได้ทำการสำรวจพื้นที่บริเวณที่เชื่อกันว่ามีเกาะอยู่ถึง 25 วัน แต่ก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าผิดหวังเพราะมันไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากทะเล

จุดระบุที่ตั้ง Sandy Island
จนกระทั่งมาถึงยุคที่วิทยาการทางด้านดาวเทียมเปิดกว้าง สิ่งนี้เองคือจุดที่นำมาซึ่งเรื่องราวลึกลับสำหรับคนหลายๆ คนที่เข้าไปส่องดูโดยเฉพาะพวกนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่พากันงงเป็นไก่ตาแตกว่าสิ่งนี้มาจากไหน เพราะในแผนที่ดาวเทียมนั้นมันได้ปรากฏหมู่เกาะหนึ่งขึ้นมาทั้งที่มันไม่น่าจะมีได้

นอกจากบันทึกการเดินเรือแล้ว Google Earth ยังมีการระบุตำแหน่งที่ตั้งของเกาะนี้เอาไว้อีกตะหากแล้วทำไมมันถึงหายไปเสียเฉยๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งเรื่องของหมู่เกาะลึกลับนี้ก็มีหลายต่อหลายฝ่ายที่พยายามจะช่วยกันค้นหาคำตอบ จนในที่สุดมันก็นำไปสู่คำตอบที่อาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมถึงไม่มีหมู่เกาะแห่งนี้อยู่ในทะเล
ทฤษฎีของหมู่เกาะ Sandy

ทฤษฎีแรกนั้นมาจากปากคำของเหล่านักวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเป็นคำอธิบายที่อาจเป็นไปได้มากที่สุด คำตอบที่ว่าก็คือนักล่าปลาวาฬอาจเข้าใจผิดว่าบริเวณเกาะแถวนั้นเป็นเกาะใหม่ที่ไม่มีการสำรวจและจัดการตั้งชื่อเกาะนี้เสียว่าหมู่เกาะ Sandy ซึ่งนั้นก็จะอธิบายได้ทันทีว่าทำไมถึงไม่ปรากฏหมู่เกาะดังกล่าว

แต่ก็มีผู้ที่เห็นแย้งออกมาว่าถ้าหากมันไม่มีเกาะนี้อยู่แล้วมันจะปรากฏอยู่บนแผนที่ดาวเทียมได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เชื่อกันว่าหมู่เกาะเหล่านี้เป็นหมู่เกาะปริศนาที่ยังคงพบร่องรอยอยู่ในทะเลอีกด้วย

ภาพจำลองสถานที่ตั้งของหมู่เกาะ Sandy ที่เชื่อว่าใกล้กับหมู่เกาะ New Caledonia
แต่เมื่อไม่นานมานี้ปริศนาทั้งหมดก็ได้ถูกไขลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อทางทีมงาน Google ได้ตัดสินใจถ่ายภาพดาวเทียมลงไปอีกครั้งในบริเวณหมู่เกาะดังกล่าว

ซึ่งเป็นที่กระจ่างชัดว่า ไม่มีหมู่เกาะที่ว่าอยู่ในแผนที่ดาวเทียมแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ ‘แนวปะการัง’ ที่ทอดตัวยาวจนมีลักษณะคล้ายหมู่เกาะบนภาพถ่าย เป็นอันปิดฉากปริศนาที่ไม่มีใครตอบได้ในเรื่องของหมู่เกาะปริศนาไปในที่สุด
จะเห็นได้ว่าในบางครั้งเรื่องราวปริศนาที่เกิดขึ้นมากับมนุษย์นั้นในบางครั้งก็เป็นเรื่องราวของความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นกับวิทยาการหรือเทคโนโลยีซึ่งส่งผลกระทบให้กับมนุษย์อย่างใหญ่หลวงเสียจนกลายมาเป็นปริศนาสุดงง ที่สร้างความแตกตื่นให้กับคนทั้งประเทศกันได้เลยทีเดียว

หมายเหตุ
แม้จะมีการยืนยันจากนักธรณีวิทยา และนักวิทยาศาสตร์อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หมู่เกาะ Sandy นั้นไม่มีอยู่จริง แต่กลุ่มคนที่สนใจเรื่องลึกลับก็ยังเชื่อว่า มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลในเหตุการณ์นี้ และตั้งหน้าตั้งตาเพื่อค้นหา ‘เกาะลับแล’ นี้ต่อไป
เครดิตข้อมูล daily.rabbit.co.th


รายการบล็อกของฉัน