Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

8 ความจริงชวนอ้วกของชาวโรมัน ที่จะทำให้คุณคลื่นไส้

8 ความจริงชวนอ้วกของชาวโรมัน
ที่จะทำให้คุณคลื่นไส้
โรมโบราณ ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 753-476 ปีก่อนคริสศักราช ซึ่งในขณะนั้น ชาวโรมันถือเป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ในทางกลับกัน พวกเขาก็มีบางอย่างที่ชวนขยะแขยงชวนอ้วก ซึ่งจะขอนำมาให้ชมบางส่วนในวันนี้ 

1. ฟองน้ำเช็ดก้น
กรุงโรมในสมัยนั้น ถือว่าเป็นเมืองแรกในโลกที่มีสิ่งที่เราอาจพิจารณาได้ว่าเป็นระบบการประปาขั้นสูง ห้องน้ำสาธารณะถือเป็นสิ่งปกติในกรุงโรม ฟังดูเหมือนจะดี แต่ที่ไม่ดีเลยก็คือห้องน้ำเหล่านี้แทบไม่ได้รับการทำความสะอาดเลย แถมสิ่งที่ใช้แทนกระดาษชำระในขณะนั้นก็คือ ไม้ที่มัดด้วยฟองน้ำเพียงชิ้นเดียว ถูก้นเวลา ขี้เสร็จ เขาจะเอาฟองน้ำนี้เขย่าๆ
แก่วงในน้ำด่างเพื่อทำความสะอาดเศษอุจระที่ติดค้างและคุณสามารถใช้แชร์กับคนอื่นเพื่อทำความสะอาดก้นเวลาอึเสร็จเรียบร้อย

2. ห้องน้ำระเบิด
ในเมื่อห้องน้ำในสมัยโรมันไม่ได้ถูกทำความสะอาดเลย แน่นอนว่ามันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้อย่างรวดเร็ว แถมผลข้างเคียงชวนสยองก็คือ มันจะกลายเป็นที่อยู่ของสัตว์เลื้อยคลานที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่สกปรก และสุดท้าย การสะสมของก๊าซมีเทนในท่อน้ำ จะกลายเป็นชนวนระเบิด ซึ่งถ้าตูมตามขึ้นมา คงไม่ต้องนึกภาพว่า คนที่เข้าไปอึตอนนั้นจะมีสภาพยังไง

3. ธุรกิจฉี่
รู้หรือไม่ว่า ชาวโรมันในสมัยนั้นมีธรุกิจเกี่ยวกับฉี่ที่เฟื่องฟูอย่างมาก โดยพวกเขาเชือว่าฉี่ของมนุษย์ มีความสามารถในการทำความสะอาดและมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ฉี่สำหรับการทำความสะอาดหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เสื้อผ้า รวมไปถึงการนำมาใช้แปรงฟันอีกด้วย

4. เลือดนักสู้ถูกใช้เป็นยา
เนื่องจากความนิยมในการต่อสู้ของเหล่านักรบกลาดิเอเตอร์ ชาวโรมันจึงมีความเชื่อเกี่ยวกับ เลือดของนักสู้และชิ้นส่วนต่างๆ

บนร่างกายพวกเขาจึงกลายเป็นธุรกิจได้ พ่อค้าบางคนค้าขายเลือดของเหล่านักสู้ ที่ถูกเชื่อว่าเป็นยารักษาโรค รวมถึงการกินชิ้นส่วนของนักสู้ที่ตายแล้วเพื่อสุขภาพอีกด้วย

5. ผิวของนักสู้ใช้ทาหน้า
ในสมัยก่อน สบู่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหายาก ผู้คนจึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Strigil” เอาไว้ขูดเหงื่อและผิวหนังที่ตายแล้วเพื่อเป็นการทำความสะอาดร่างกาย แต่ผิวของนักสู้จะต่างออกไป เพราะพ่อค้าจะเก็บสะสมผิวของพวกนักสู้ที่ชนะเลิศ เพื่อนำไปขายเป็นครีมทาหน้าให้กับหญิงสาว ผู้ต้องการมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชาย รวมไปถึงเป็นยาบำรุงทางเพศของผู้หญิงอีกด้วย

6. ภาพาวาดองคชาติ
ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ใครส่งสัญลักษณ์องคชาติให้กันคงมีตีกันไปแล้ว แต่สำหรับชาวโรมัน การวาดสัญลักษณ์องคชาติสื่อถึงการนำมาซึ่งความปลอดภัยและความโชคดีมาให้ อย่างเช่น สัญลักษณ์องคชาติที่ถูกวาดขึ้นบนกำแพงในสถานที่ๆ อันตราย นั่นหมายถึงการช่วยให้นักเดินทางรู้สึกปลอดภัย

7. อ้วกเพื่อกินต่อ
ในงานเลี้ยงของชาวโรมัน พวกเขาจะกิน กิน กิน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถกินต่อไปได้อีก หลังจากนั้นพวกเขาจะอ้วกออกมา เพื่อที่จะได้กินได้ต่อไป บางคนก็จะอ้วกลงไปในชามที่วางไว้รอบๆ โต๊ะ แต่บางคนโดยเฉพาะพวกขี้เมาก็ปล่อยอ้วกเละเทะลงบนพื้น จากนั้นก็กลับไปกินต่อ

8. ขี้แพะสารพัดประโยชน์
แน่นอนว่า ในสมัยก่อนไม่มีผ้าพันแผล ชาวโรมันจึงโปะแผลด้วยขี้แพะที่สะสมเอาไว้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและตากแห้งเอาไว้ นอกจากนั้น บรรดาคนขับรถม้ายังใช้ขี้แพะไปต้มในน้ำส้มสายชู คลุกเคล้ากับแป้งและนำมันไปผสมเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อเอาไว้จิบเล็กน้อยเวลาที่รู้สึกอ่อนเพลีย

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ชาวประมงปินส์บุญหล่นทับ เจอไข่มุกใหญ่สุดในโลก

ชาวประมงปินส์บุญหล่นทับ 
เจอไข่มุกใหญ่สุดในโลก ราคาเบาะๆ
3 พันกว่าล้าน
ชาวประมงฟิลิปปินส์รวยไม่รู้เรื่อง เจอไข่มุกก้อนใหญ่สุดในโลก หนักถึง 34 กก. สนนราคาอาจสูงถึง 3.4 พันล้านบาท ระหว่างออกเรือหาปลา ตั้งแต่ 10 ปีก่อน แต่ไม่รู้ว่ามันคือไข่มุก เก็บไว้ในฐานะเป็นก้อนหินนำโชคเท่านั้น

เมื่อ ส.ค.59 สื่อต่างประเทศรายงานเรื่องฮือฮา ชาวประมงชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง 
(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่เกาะปาลาวัน พบไข่มุกขนาดใหญ่ น้ำหนัก 34 กก.
และคาดว่าน่าจะเป็นไข่มุกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันคือไข่มุกล้ำค่า ที่อาจมีราคาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.4 พันล้านบาท เพียงแต่ชาวประมงรายนี้ได้เก็บรักษาไข่มุกไว้ในฐานะเป็นเครื่องรางนำโชคเท่านั้น

ข่าวแจ้งว่า ความจริงมาประจักษ์ เครื่องรางหรือหินนำโชคที่ชายประมงคนนี้พบนั้น เป็นไข่มุกขนาดใหญ่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการพบกันมา เพราะมันใหญ่กว่าไข่มุกที่ว่าใหญ่สุดซึ่งถูกพบมาก่อนหน้านี้ ถึง 5 เท่า ก็เมื่อมาเกิดเหตุไฟไหม้บ้านไม้ของชาวประมงผู้นี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้เขาต้องย้ายบ้าน และเขาได้ตัดสินใจที่จะนำมันไปด้วย จนเมื่อมีเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวท้องถิ่นในเมืองเปอร์โต ปรินเซสก้ามาเห็นเข้า จึงได้นำหินนี้ไปตรวจสอบ แล้วจึงรู้ว่า มันเป็นไข่มุกที่ประเมินค่ามิได้

ไข่มุกก้อนนี้ มีขนาดความยาวถึง 2.2 ฟุต กว้าง 1 ฟุต หนัก 34 กก. ซึ่งตามการตีราคาของ ‘ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์’ ซึ่งเป็นไข่มุกขนาดใหญ่สุดที่พบก่อนหน้านี้ มีน้ำหนัก 6.4 กก.ก็มีราคาถึง 35 ล้านดอลลาร์แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวท้องถิ่นของฟิลิปปินส์ 
ยังเปิดเผยที่มาของการพบไข่มุกขนาดใหญ่สุดในโลกของชายประมงว่า เขาได้โยนสมอลงไปในทะเลเพื่อตรึงเรือไว้ขณะเจอพายุ และปรากฏว่า สมอได้ไปติดกับก้อนหินก้อนหนึ่ง 

จากนั้นเขาจึงดำน้ำลงไปถอนสมอและเห็นว่าสมอติดอยู่กับหอย จึงนำหอยขึ้นมาด้วย และเก็บมันไว้ที่บ้านตั้งแต่สิบปีที่แล้วในฐานะเครื่องรางนำโชค

กระทั่งมารู้ว่า ความจริง มันเป็นไข่มุกล้ำค่าเมื่อไม่นาน และขณะนี้ ชายประมงได้ส่งไข่มุกมาให้เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวช่วยนำไปตรวจสอบต่อว่าเป็นไข่มุกจริงๆ หรือไม่ และคงต้องรอผลการตรวจสอบต่อไป ทั้งนี้ ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์ หรือรู้จักในชื่อ Pearl of Lao Tze ก็พบในทะเล นอกชายฝั่งเกาะปาลาวัน ของฟิลิปปินส์ ในปี 2477 และขณะนี้ได้ถูกนำไปแสดงที่นิวยอร์ก

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ขุดพบวัตถุโบราณใต้พระราชวังต้องห้าม


ขุดพบวัตถุโบราณใต้พระราชวังต้องห้าม สันนิษฐานสร้างวังทับพระราชวังกุบไลข่าน
พื้นที่ขุดพบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมพระราชวังโบราณสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งอยู้ใต้พื้นพระราชวังต้องห้าม (ภาพเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์)
       
ไชน่าเดลี - พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ในกรุงปักกิ่ง เผย (6 พ.ค.) ยืนยันการค้นพบวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1271-1368) ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินนานกว่า 600 ปีกลางกรุงปักกิ่ง
             
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง หรือ พระราชวังต้องห้าม เผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. ว่าได้ขุดพบวัตถุโบราณระหว่างการซ่อมบูรณาในเขตโบราณสถานนี้
      

หลี่ จี๋ หัวหน้าสำนักโบราณคดีของพิพิธภัณฑ์ ร่วมกับหน่วยงานวิจัยทางวิชาการ กล่าวว่าได้ขุดค้นพบวัตถุโบราณในบริเวณฝั่งตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ระหว่างบูรณะเพื่อวางสายเคเบิลใต้ดินเมื่อปีที่แล้ว แต่ใช้เวลาหลายเดือนเพื่อพิสูจน์ยืนยันอายุของวัตถุโบราณเหล่านั้น
               
"ชิ้นส่วนกระเบื้องต่างๆ ล้วนเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า อายุของวัตถุโบราณเหล่านั้น น่าจะไม่น้อยกว่ายุคต้นๆ ราชวงศ์หมิง" หลี่ จี๋ กล่าว
           
ขณะที่นักโบราณคดีจีนหลายคนเชื่อมั่นว่า การขุดค้นพบโบราณวัตถุใต้พระราชวังต้องห้ามนี้ จะคลี่คลายปริศนาตำแหน่งของพระราชวังจักรพรรดิกุบไล ข่าน ในยุคราชวงศ์หยวน ศตวรรษที่ 13 หลังจากที่ข้อสันนิษฐานจำนวนมากยืนยันว่าอยู่ในกรุงปักกิ่ง และที่สุดอาจจะไม่ใกล้ไม่ไกลที่ไหน แต่อยู่ข้างใต้พื้นพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง
              
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่แท้จริงของพระราชวังราชวงศ์หยวนนั้น ยังเป็นปริศนาแต่มีความเชื่อว่าอยู่ใกล้กับเขตพระราชวังต้องห้าม และผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มค้นหาเขตโบราณสถานสำคัญใต้พื้นดินพระราชวังต้องห้ามนี้ มาตั้งแต่ปีค.ศ.2014 ด้วยความหวังที่จะศึกษาแผนผังก่อสร้างสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์จีน
         

จากการขุดบูรณะเขตก่อสร้างใจกลางพระราชวังต้องห้าม ทำให้เห็นโครงสร้างแผนผังเขตของโบราณสถานนี้ว่ามีการทับซ้อนกัน 4 ชั้น เริ่มจากยุคหมิงตอนต้น ตอนกลาง และชั้นล่างสุดคือยุคราชวงศ์หยวน
             
หลี่ จี๋ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ Youth.cn ว่า แรงงานก่อสร้างในยุคราชวงศ์หมิง ได้รื้ออาคารต่างๆ ในสมัยราชวงศ์หยวนออกจากพื้นที่ และเริ่มก่อสร้างพระราชวังต้องห้าม ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกันยังได้ขุดพบ ซากปรักหักพังของสวนพระราชวังสำหรับพระชนนีขององค์จักรพรรดิ์ และหลุมเศษกระเบื้องพอร์ซเลนสมัยราชวงศ์ชิงที่ถูกทิ้งร้าง
            
ทั้งนี้ พระราชวังต้องห้าม เป็นพระราชวังหลวงที่มีแผนผังทางสถาปัตยกรรมซับซ้อน ก่อสร้างระหว่างปีค.ศ.1406-1420 และเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์จีนยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) จนสิ้นยุคราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911)

คนงานก่อสร้างขณะขุดปรับพื้นลานหน้าพิพิธภัณฑ์พระราชวัง กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สวนลอยแห่งบาบิโลน

สวนลอยแห่งบาบิโลน                          ชื่อสถานที่ :สวนลอยเเห่งกรุงบาบิโลน  สถานที่ตั้ง :กลางทะเลทรายเมืองเเบกเเดดประเทศอิรัก                 
ปัจจุบัน :ทั้งสวนเเละผนังทรุดโทรมจนเเทบไม่เหลือซากเเล้ว
สวนลอยแห่งบาบิโลนนับเป็นความรุ่งเรืองเกรียงไกรยิ่ง โดยเฉพาะตำนานของคริสเตียนได้มีข้อความที่กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของสวยลอยแห่งนี้ไว้มาก กล่าวกันว่าบาบิโลนคือสถานที่แรกๆ ของบรรพบุรุษชาวโลกในกาลก่อน และยังมีบางส่วนที่กล่าวถึงบาบิโลนในฐานะที่เป็นหอคอบสูงที่มนุษย์ใช้สำหรับหลับภัยยามน้ำท่วมโลกก่อนที่จะพังทลายลง ปัจจุบันนักวิชาการต่างพยายามค้นคว้าข้อมูลและหาตำแหน่งที่แท้จริงของสถานที่ตั้งสวนลอยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด

สวนลอยบาบิโลน (อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี 

ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว

คำว่า”บาบิโลน” สำหรับคนที่เรียนประวัติศาสตร์แล้ว ฟังดูเป็นอดีตที่แสนจะห่างไกล เป็นเรื่องเล่าปะรัมปะราที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของวัฒนธรรม และความเจริญก้าวหน้าด้านวิศวกรรมการก่อสร้างที่สวยงามโด่งดัง “สวนลอยบาบิโลน”
ยิ่งเห็นภาพวาดก็ยิ่งวาดฝัน….ซักวันคงมีโอกาสได้ไปสัมผัสอู่อารยธรรมมนุษยชาติแห่งนี้…

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า บาบิโลนเป็นนครของชาวเซไม้ท์กลุ่มหนึ่ง อยู่ทางภาคใต้ของบริเวณเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 2,350 ก่อน ค.ศ. ซึ่งพัฒนาต่อๆมาเป็นนครใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่งของโลก มีกำแพงเมืองล้อมรอบตัวเมืองเป็นระยะทางเกือบ 8 กิโลเมตร มีหอคอยกั้นระหว่างกำแพงเป็นระยะๆ มีประตูเมือง 8 แห่ง เข้าสู่ภายในเมือง ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐ ตรงประตูเมืองวาดภาพเป็นรูปสัตว์นับร้อยๆ ภาพ ตกแต่งสวยงาม มีถนนบนกำแพงเมืองกว้างพอให้ทหารเดินไปรอบๆเมือง เพื่อป้องกันข้าศึก

ชาวกรีกได้บันทึกไว้ว่ากำแพงเมืองบาบิโลนสูง 700 ฟุต มีความหนามาก จนส่วนบนของกำแพงกว้างพอให้รถศึกเทียมด้วยม้า4ตัว วิ่งไปบนส่วนของกำแพงได้ แต่ข้อมูลนี้ถูกโต้แย้งในเรื่องของความสูงว่า จริงๆ แล้วอาจบันทึกผิด น่าจะสูงแค่ 70 เมตร (แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครรู้หรอกว่า ความเป็นจริงๆแท้ๆนั้นเป็นอย่างไร ลองดูรูปวาดที่มีตกทอดมาให้ดูประกอบการตัดสินใจเองแล้วกัน

สวนลอยฟ้าบาบิโลน
(The Hanging Gardens of Babylon) ได้รับยกย่องว่าเป็น
“หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก”
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ให้ความเห็นว่า ทหารของกษัตริย์ Alexander ได้มาถึง Mesopotamia และมาถึงอาณาจักร Babylon ที่รุ่งเรือง เมื่อพวกเขากลับไปก็ไปเล่าให้ผู้คนฟังถึง สวนลอยที่สวนงาม ต้นปาลม์ พระราชวัง หอบาเบล ทำให้กวีและนักประวัติศาสตร์จินตนาการไปต่างๆนาๆ สวนลอยแห่งนี้ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ Euphrates ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Baghdad เมืองหลวงของประเทศ อิรัก ประมาณ 50 Km 

อาณาจักร Babylon เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยของกษัตริย์ Hammurabi (ประมาณ 1750 ปีBC) แต่นั่นยังไม่ใช่ยุคของความเจริญสูงสุดของอาณาจักรนี้ จนในสมัยของกษัตริย์ Naboplashar(ประมาณ 625 ปีBC) จึงถือว่าเป็นจุดสูงสุดหรือยุคทองของอาณาจักรบาบิโลนนี้อย่างแท้จริง โดยลูกชายของกษัตริย์ Naboplashar ที่ชื่อว่า Nebuchadnezzar ที่ 2 เป็นผู้ก่อสร้างสวนลอยแห่งบาบิโลนขึ้นมา เล่ากันว่าแรงจูงใจของพระองค์ก็คือ เป็นการ สร้างให้กับ ราชินี
หรือ นางสนมของพระองค์ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

ภายในกำแพงเมืองเข้าไปเป็นที่ตั้งของพระราชวังกษัตริย์และวิหารทางศาสนา “ซิกูแรท” ลักษณะคล้ายปิรามิดยุคแรกๆ คือ เป็นชั้นๆ ไม่เรียบ
การที่บาบิโลนมีวิหารรูปซิกูแรท แสดงว่าได้อิทธิพลมาจากชาวสุเมเรียน ที่อาศัยในดินแดนแถบนี้มาก่อน

ซิกูแรทโบสถ์ทางศาสนาของบาบิโลนมีความสูงถึง 300 ฟุต หรือประมาณ 100 เมตรเลยทีเดียว สร้างเป็นชั้นเฉลียง 8 ชั้น มีบันไดเวียนขึ้นไปที่ยอดสูงสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทวสถาน ประชาชนที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์สามารถมองเห็นเทวสถานบนยอดซิกูแรทได้อย่างชัดเจน ผู้สร้างคงมีความหมายให้เทวสถานเชื่อมกับเขตแดนสวรรค์

เกษตรและการชลประทานขั้นสูง ที่สามารถยกสวนพืชไปปลูกบนพระราชวังได้อย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีวิหารสวยงามและพระราชวังอีกหลายแห่งภายในบริเวณตัวเมือง ส่วนชาวบ้านสร้างที่พักด้วยดินอยู่รอบๆเมือง
กรุงบาบิโลนกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าของประชาชนหลายกลุ่มในดินแดนเมโสโปเตเมีย จึงมีการพัฒนาความเจริญอย่างมากและรวดเร็ว มีความรู้ในการนับเลข และบวกเลข ประดิษฐ์สิ่งต่างๆเพื่อใช้คำนวณ เช่น สูตรคูณ และการใช้เลข 10 ซึ่งต่อมาชาวยุโรปได้นำมาใช้ นอกจากนั้นยังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์สูงเนื่องจากบริเวณที่ตั้งของกรุงบาบิโลนไม่มีเมฆปิดบัง และเป็นชนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่รู้ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวงมีความแตกต่างจากดาวดวงอื่น จนสามารถทำปฏิทินรุ่นแรกๆของโลกได้ โดยกำหนดให้หนึ่งเดือนมี 28 วัน แยกเป็น 4 สัปดาห์ๆ ละ 7 วัน โดยตั้งชื่อวันตามดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวง

ต่อมาชาวโรมันได้เอาแนวความคิดเรื่อง 1 สัปดาห์มี 7 วันจากชาวบาบิโลน และใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ชาวบาบิโลนรู้จักการเขียน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวสุเมเรียน ไม่ใช่เขียนไว้เป็นเรื่องราวร้อยแก้วเท่านั้นแต่ยังเขียนเป็นบทกวีร้อยกรองอีกด้วย มีบทกวีหลายบทเขียนไว้บนแผ่นดินเหนียวซึ่งยังคงหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้ เป็นการผจญภัยของกษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อ กิลกาเมช(Gilgamesh)ที่เดินทางไปต่อสู้กับอสูรจนสุดขอบโลก และทรงดำลึกถึงก้นมหาสมุทร นอกจากนั้นยังเขียนเรื่องราวเทพเจ้าของตนไว้มากมาย รวมถึงเรื่องน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ เชื่อกันว่าต้นเค้าก็มาจากเรื่องเทพนิยายของบาบิโลนนี่แหละ..

อารยธรรมยิ่งใหญ่ของบาบิโลนที่ทิ้งไว้ให้แก่มนุษย์ชาติ สำคัญๆได้แก่ กฏหมายของบาลิโลนที่มีความยุติธรรมและเขียนจารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวซึ่งยังคงเหลือมาถึงทุกวันนี้ โดยกษัตริย์ฮัมมุรัมบี ตรากฏหมายเรื่องต่างๆ เช่น การสมรส โจรกรรม หนี้สิน การจราจรทางน้ำ ค่าจ้างแรงงาน การรักษาคลอง กฏหมายกำหนดราคา ฯลฯ เหล่านี้เป็นกฏหมายที่ยุติธรรมแต่บทลงโทษโหดเหิ้ยม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายที่ดี จนกระทั่งโรมันนำมาใช้ทั่วจักรวรรดิโรมัน และประเทศยุโรปยังเอากฎหมายโรมันมาใช้อยู่ในปัจจุบัน
บาบิโลนและอัสซีเรีย 2 จักรวรรดิของชาวเซไม้ท์ในเมโสโปเตเมียดินแดนแห่งลุ่มน้ำไทกรีส ยูเฟรตีส ได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และทิ้งอารยธรรมไว้แก่โลกก่อนที่จะถูกมหาอำนาจใหม่ในตะวันออกกลาง คือ เปอร์เซีย ได้ทำลายทั้งอัสซีเรีย(ปี 612 ก่อน ค.ศ.) และบาบิโลน (ปี 539 ก่อน ค.ศ.)ทิ้งไว้แต่ซาก…กองดิน…และตำนาน…

สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน การเดินทางไปอิรักไม่สามารถบินตรงเข้าแบกแดก เมืองหลวงของประเทศได้ เพราะอิรักถูกประเทศมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาแซงชั่น จัดชั้นอิรักเป็น “ประเทศอันธพาล” ห้ามติดต่อคบหาสมาคมด้วย การเดินทางไปบาบิโลนจึงต้องผ่านเข้าไปทางประเทศจอร์แดน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกันก่อน 
แล้วนั่งรถข้ามทะเลทรายเข้าไปแบกแดก…

สวนลอยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายจึงเป็นเสมือนสรวงสวรรค์ที่งดงามและชุ่มชื้นท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุ พ่อค้าและผู้ที่เดินทางผ่านมาสามารถมองเห็นสวนลอยได้แต่ไกล เพราะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตมาก บ้างที่เดินทางฝ่าไอแดดท่ามกลางทะเลทรายมาไกลก็ได้อาศัยร่มเงาของสวนลอยเป็นที่พักพิงหลบร้อนให้หายเหนื่อยก่อนออกเดินทางต่อ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันสวยลอยแห่งนี้ได้พังทลายสูญหายไปแล้ว จากกิตติศัพท์ความงดงามอลังการของสวนลอยบาบิโลนจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่มีข้อกังขา

แต่……. แม้สถานที่แห่งนั้นมันจะมีชื่อเสียงเทียบเท่าวิหารของเทพซุส หรือประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย แต่เรื่องราวของสวนนี้ก็ยังเป็นปริศนาลึกลับจนถึงทุกวันนี้ เพราะนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่าสวนลอยนี้มันมีตัวตนจริงเหรอ? หรือมันจะอุปโลกน์ขึ้น โดยสาเหตุที่นักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่าอาคารนี้มันมีตัวตนจริงเหรอก็มีดังนี้

1. ทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบหลักฐานวัตถุหรือโครงสร้างของสวนลอยฟ้าแห่งนี้เลย จริงมีเพียงแต่บันทึกหลักฐานของคนโบราณเท่านั้น โดยหลักฐานเกี่ยวกับบันทึกที่สำคัญที่สุดคืองานนิพนธ์ที่เขียนขึ้นเมื่อ 270 ปีก่อนของเบรอสซุส (Berossus) นักประวัติศาสตร์ เขาเล่าว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงมีบัญชาสร้างสวนนี้เพียง 15 วันเท่านั้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์ใช้บทประพันธ์นี้ในการจำลองภาพสวนลอยฟ้าบาบิโลน
นอกจากนี้ก็มีนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกหลายคนที่บรรยายสวนลอยแห่งนี้ ที่ดังๆ ก็มี ดิโอโดรัส ซิคูลัส (Diodorus Siculus) แต่งสวนใหญ่มีหลายคนที่บรรยายสวนลอยแห่งนี้หลายแบบจนเหมือนกับว่า “พวกเขาเคยไปเห็นสวนนี้กับตาถึงบาบิโลมจริงๆ เหรอ?”

2. นักประวัติศาสตร์บางคนไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริงเพราะถ้ามันมีจริงชาวบาบิโลมจะเอาเทคโนโลยีไหนมาสร้าง เพราะว่าสมมุติเราจะสร้างสวนลอยฟ้าแบบนี้ในปัจจุบันสมมุติว่าจะสร้างกลางทะเลทราย ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี แม้ว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านวัตถุและวิธีสร้างจะกว้างล้ำไกลมาก แต่ปัญหาการจัดการสวนต้นไม้ใหญ่ในอาคารพื้นที่สูงก็ยังเป็นที่ปวดหัวต่อวิศวกรมาตลอด อย่าลืมสิว่าไม้ใหญ่มันมีรากที่สามารถทะลุวัตถุที่แข็งๆ ได้ ขนาดคอนกรีตปัจจุบันอยู่เอามันไม่อยู่แล้วสวนลอยฟ้าโบราณมันจะเอาอยู่เรอะ

3. แล้วพืชที่สวนลอยนี้มันมีชีวิตได้อย่างไง อย่าลืมว่าสวนนี้ตั้งใจกลางทะเลทราย มันต้องการน้ำในปริมาณมหาศาลมาก ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็มีคำตอบครับเขาว่าพระองค์ทรงนำทาสจำนวนมากมายแบกน้ำขึ้นไปรดต้นไม้ในสวนซะเลย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือคือเกลียววิดน้ำหรือเรารู้จักกันดีคือเกลียวของอาร์คีมีดิส(Archimedean Screw) ซึ่งมันถูกค้นพบในอีรักมานานแล้ว และยังมีระบบชลประทานที่ออกแบบอย่างดีอยู่แล้วน้ำจึงไม่ขาด

4. มีบางคนเชื่อว่าสาเหตุที่เราไม่พบซากสวนลอย บางทีสวนนี้อาจไม่มีอยู่จริง หากมีจริงมันอาจเป็นไร่นาขั้นบันไดเท่านั้น โดยมีการแต่งเติมเสริมจริงของคนโบราณ

5.เกี่ยวกับคนสร้าง บางคนไม่เชื่อว่าพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์เป็นคนสร้างแต่เป็นเซนาเฮริบ(Senaherib) ต่างหากที่เป็นคนสร้างสวนนี้ขึ้นมา(100 ปีก่อนหน้านั้น)

6.น่าสนใจที่ว่าจากการตรวจดูศิลาจารึกในยุคของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ปรากฏว่าไม่มีคำไหนกล่าวถึงสวนลอยฟ้าแห่งนี้สักบรรทัด ซึ่งกล่าวแต่พระราชวัง นคร และกำแพงเมืองเท่านั้น ซึ่งแม้แต่นักประวัติศาสตร์กรีกเท่านั้นที่บรรยายสวนลอย ซึ้งบางที่นักประวัติศาสตร์กรีกเหล่านั้นอาจไม่ได้ไปบาบิโลมก็เป็นได้ พวกเขาอาจได้ยินทหารของกษตริย์อเล็กซานเอร์ที่เคยไปเหยียบดินแดนเมโสโปเตเมียและไปเห็นนครแห่งนั้นสวยราวกับสวรรค์จากนั้นพอกับบ้านเกิดเลยเล่าเรื่องสวนสวยของเมโสโปเตเมีย
สิ่งก่อสร้าง……หอคอย……กำแพงเมือง……ทำให้นักกวีและนักประวัติศาสตร์กรีกทั้งหลายเลยเอามาผสมปนเปกันจนเป็นสวนลอยบาบิโลมในที่สุด

7. อนึ่งบางที่ที่ตั้งของสวนลอยอาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากแม่น้ำยูเฟรติสที่คนอื่นว่าเป็นที่ตั้งของสวนลอยนั้นมันอยู่ห่างจากสถานที่สำคัญของนครบาบิโลมหลายร้อยเมตรจนไม่น่าจะเป็นไปได้ว่ามันจะมาสร้างที่นี้เพราะมันห่างไกลจากความเจริญเหลือเกิน

8. ถึงอย่างไรบริเวณสวนลอยนั้นก็ได้รับการซ่อมแซมโดยยึดคำอ้างอิงตามประวัติศาสตร์กรีกเป็นต้นแบบ(ตอนนี้เลิกโครงการแล้วมั้งจากสงครามอิรัก)

9. บางเว็บบอกว่าเจอบ่อน้ำกับซุ้มประตูบางส่วน แต่ความจริงคือผู้เชี่ยวชาญไม่ยอมรับเท่าไหร่ว่ามันคือสวนหนึ่งของสวนลอย และที่บอกว่าทรุดโทรม แต่ความจริงแล้วไม่พบแม้แต่ซากครับ

10. นักโบราณคดีเยอรมันชื่อโรเบิร์ต โคลเดอเวย์ เคยตั้งคำถามไว้เมื่อปีค.ศ.1899 ว่า นครบาเบลในสมัยโบราณนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโคลนตม จึงไม่เชื่อว่าจะมีสถาปัตยกรรมใดตั้งอยู่ แต่หลักฐานที่ให้เชื่อว่ามันมีอยู่จริงคือการพบห้องใต้ดินของสวนและล้อที่เป็นกลไกชักน้ำจากแม่น้ำเข้าสวน จึงเชื่อว่ามีอยู่จริง

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ชายชาวโปแลนด์ 2 คนค้นพบขบวนรถไฟบรรทุกทองคำในอุโมงค์ลึกลับใต้ดินของนาซี


สื่อนอกเผย ชายชาวโปแลนด์ 2 คนค้นพบขบวนรถไฟบรรทุกทองคำและของล้ำค่าในอุโมงค์ใต้ดินของนาซี

หนึ่งในปริศนาของช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผู้คนต้องการจะรู้ความจริงมากที่สุด คือการสูญหายอย่างไร้ร่องรอยของ "รถไฟทองคำ" หรือขบวนรถไฟบรรทุกทรัพย์สินมีค่ามหาศาลที่นาซีนำไปซุกซ่อนยังที่ลับตา โดยขบวนรถได้มุ่งหน้ากลับไปยังเบอร์ลินเพื่อหลบให้พ้นมือศัตรูก่อนที่สงครามจะยุติลงไม่นาน

หลังจากเยอรมนียอมแพ้สงครามแล้ว กองทัพสหรัฐสามารถดักจับขบวนรถไฟทองคำได้ 1 ขบวน ซึ่งเดินทางจากฮังการีมาถึงออสเตรีย รถไฟทองคำขบวนฮังการี (Hungarian Gold Train) บรรทุกทรัพย์สินรวมมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านบาท และคาดว่ายังมีขบวนขนส่งทองคำและของล้ำค่าเช่นนี้อีก ทว่า ไม่มีใครพบเจอ ไม่รู้รายละเอียด และไม่ทราบว่าถ้ามีจริงจะมีมูลค่ามากมายเพียงใด?

แต่ล่าสุด ปริศนาที่ถูกซุกซ่อนมานานถึง 70 ปี ได้ถูกค้นพบแล้ว เมื่อ daminfo.pl เว็บไซต์ข่าวสารของโปแลนด์ รายงานว่า ชาย 2 คนในเมืองวาลบ์จิก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโปแลนด์ ค้นพบขบวนรถไฟในตำนานแล้ว โดยพบในอุโมงค์เครือข่ายของฐานทัพรีสเซ (Project Riese) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นใต้ดินของนาซี ซึ่งในช่วงสงครามพื้นที่ถูกโจมตีทางอากาศ จึงมีการสร้างเครือข่ายฐานใต้ดินขึ้นเพื่อผลิตยุทโธปกรณ์ แต่ในเวลาต่อมาคาดว่าใช้เป็นที่ซุกซ่อนขบวนรถไฟบรรทุกทองคำและอัญมณีด้วย
คนท้องถิ่นเล่าสืบต่อกันมาว่า ในช่วงที่สงครามใกล้ยุติพวกนาซีได้บรรทุกทองคำและของล้ำค่าจากเมืองเบรสเลา มุ่งหน้ามายังชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองวาลบ์จิก เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของกองทัพโซเวียต ทว่า ขบวนรถไฟทองคำหายสาบสูญไปหลังสงครามสงบลง โดยจุดที่หายไปอยู่ใกล้กับปราสาทคะชาซ (Ksiaz) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายฐานทัพใต้ดินรีสเซ โดยอุโมงค์ของฐานทัพใต้ดินถูกปิดตายและร่องรอยสูญหายไปนับตั้งแต่นั้นมา

อย่างไรก็ตาม ผ่านมา 70 ปี ก็มีคนพบความลับเข้าจนได้ โดยสื่อของโปแลนด์เผยว่า รถไฟขบวนนี้มีความยาวถึง 150 ม. เป็นรถไฟหุ้มเกราะของกองทัพนาซี คาดว่ามีทองคำน้ำหนักรวมถึง 300 ตัน

ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยจุดที่ค้นพบอย่างเป็นทางการ เนื่องจากผู้ค้นพบต้องการให้ทางรัฐบาลยืนยันว่า พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากการค้นพบอย่างน้อย 10% ของมูลค่าทั้งหมดตามกฎหมายของโปแลนด์ ส่วนที่เหลือจะตกเป็นของรัฐบาล
โดยในเบื้องต้นทั้งคู่ได้ยื่นคำร้องต่อรัฐบาลท้องถิ่นแล้ว และมีการเปิดเผยคำร้องนี้ทางสื่อออนไลน์ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มีการยืนยันหรือปฏิเสธข่าวนี้
ด้านทนายความของนักล่าสมบัติทั้งสองคนไม่เปิดเผยรายละเอียดและมูลค่าที่แท้จริงของสมบัติที่ค้นพบเช่นกัน เพียงแต่บอกว่า "รถไฟทองคำ" ขบวนล่าสุดเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของชาวโลก เทียบเท่ากับการค้นพบเรือไททานิคที่ใต้พื้นมหาสมุทรแอตแลนติกเลยทีเดียว

สำหรับ "รถไฟทองคำขบวนฮังการี" ที่เคยพบเมื่อ 70 ปีก่อน เป็นรถไฟขนาด 24 โบกี้ของนาซีเยอรมัน ซึ่งบรรทุกทองคำ อัญมณี และสมบัติล้ำค่าที่ปล้นชิงมาจากพลเรือนและชาวยิวในช่วงสงคราม รถขบวนนี้เดินทางออกจากจากกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการีมุ่งหน้าไปยังกรุงเบอร์ลินอย่างเร่งรีบ เนื่องจากขณะนั้นเยอรมนีถูกตีโต้กลับจากฝ่ายศัตรู ทั้งถูกโอบล้อมจากกองทัพโซเวียตที่แนวรบด้านตะวันออก และกองทัพสัมพันธมิตรที่ด้านตะวันตก
"รถไฟทองคำ" ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1945 โดยระหว่างทางได้มีการขนทรัพย์สินมีค่าเพื่อบรรทุกไปกรุงเบอร์ลินเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเยอรมนีประกาศยอมแพ้สงครามและรถไฟขบวนนี้ถูกกองทัพสหรัฐพบที่ออสเตรีย ภายในมีทรัพย์สินมหาศาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นของชาวยิวที่ถูกนาซีกวาดต้อนมายังค่ายกักกัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐมิได้เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งยังมีข้อครหาว่า สหรัฐเก็บของทั้งหมดไว้เอง ทำให้ทายาทชาวยิวร้องเรียนและพยายามทวง
คืนสมบัติที่ถูกช่วงชิงมาโดยตลอด

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แมวทะเลทรายอาหรับ


🐈แมวเหมียวทะเลทราย อีกหนึ่งสัตว์โลกลึกลับ ที่หาตัวยากเหลือเกิน‘แค่กระพริบตามันก็หายไปแล้ว…’ คงเป็นคำนิยาม
ที่ดีที่สุดของแมวสายพันธุ์ Arabian Sand Cat หรือแมวทะเลทรายอาหรับ ที่เป็นเหมียวขี้อายและชอบเก็บตัวสุดๆ สามารถพบเห็นได้ในช่วงกลางคืนของทะเลทรายอันหนาวเหน็บเท่านั้น

แต่กระนั้นเจ้าเหมียวชนิดนี้ก็เป็นสุดยอดนักล่ายามราตรีที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของมันได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถที่ไม่ต้องดื่มน้ำเลย (เพราะดูดซับและดึงมาจากเหยื่อที่พวกมันสามารถล่าได้) และขนในหูของมันก็สามารถป้องกันทรายเข้าได้อย่างดีเยี่ยม

ถึงแม้ว่ามันจะอาศัยอยู่ทั้งในแอฟริกาตอนเหนือ อาระเบีย และเอเชียกลาง มนุษย์ก็ไม่ค่อยรู้จักสัตว์ชนิดนี้ดีพอ และเกือบจะกลายเป็นเรื่องลี้ลับเลยล่ะ!

🐱แมวทะเลทรายอาหรับ
‘ไม่ค่อยมีคนมาศึกษาเรื่องราวของพวกมันอย่างจริงจังหรอก’
นี่คือคำพูดจากปากของ
John Newby แห่งองค์กร Sahara Conservation Fund
อาจเป็นด้วยเพราะความหายากและโอกาสน้อยที่จะสังเกตเห็นพวกมัน ทำให้แมวชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในโซนของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดย International Union for Conservation of Nature (IUCN)

👉นอกจากนี้ในสหรัฐอาหรับ
เอมิเรตส์ยังจัดให้มันเป็นสัตว์โซนแดงที่ใกล้ต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก สวนสัตว์หลายๆ
ที่ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการเพราะพันธุ์เจ้าเหมียวทะเลทรายสายพันธุ์นี้…สามารถพบเห็นได้เฉพาะในตอนกลางคืนเท่านั้น

😂ในแถบตะวันตกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็มีรายงานเกี่ยวกับการพบเจ้าเหมียวสายพันธุ์นี้เช่นกัน แต่เป็นรายงานเมื่อราวๆ 10 ปีมาแล้วล่ะ…นั่นหมายความว่ามันหายากมากๆ 

ปี 2015 Shakeel Ahmed ที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงในอาบูดาบี เลยจัดการตั้งทีมค้นหาขึ้นมา โดยการติดกล้องพร้อมกับอาหารแมวในหลายๆ
ที่ ใช้เวลาหลายเดือน ยังสามารถเก็บภาพของเจ้าเหมียวเหล่านี้มาได้เพียง 46 ภาพเท่านั้นและสิ่งที่รู้ก็คือเหมือนว่าเจ้าเหมียวเหล่านี้จะชอบค่ำคืนที่แสงจันทร์กระจ่าง มีความเย็นของทะเลทรายราวๆ 11-28 องศาเซลเซียส…เพียงเท่านี้

👉แต่ยังดีที่นักสำรวจพบสัตว์ตัวเล็กๆ มากมายในแถบนี้ แน่นอนว่าเหล่าเจ้าเหมียวมีอาหารอย่างเพียงพอและไม่อดอยากแล้วล่ะ

สำหรับการสำรวจนี้ทีมวิจัยหวังว่าก็จะเป็นการเบิกร่องให้ทีมอื่นๆ ที่อยากศึกษาเรื่องแมวสายพันธุ์นี้อย่างจริงจังเข้ามาทำงานอย่างเต็มที่ในด้านนี้ เพราะความรู้เกี่ยวกับพวกมันยังจัดว่าน้อยอยู่มาก…
เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย มีเพื่อนๆ คนไหนอยากไปทำวิจัยเรื่องของมันบ้างหรือเปล่า?

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หนุ่มวัย 15 ปีค้นพบ เมืองมายาโบราณที่สาบสูญ”


หนุ่มวัย 15 ปีค้นพบ “เมืองมายาโบราณที่สาบสูญ” จากการสำรวจผ่าน Google Maps!
เด็กหนุ่มชั้นมัํธยมชาวแคนาดาได้ค้นพบเมืองมายาโบราณที่หายสาบสูญ ด้วยการสำรวจแผนที่และกลุ่มดาวจากห้องนอนของเขาเอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 3,540 กิโลเมตรในรัฐควิเบก

William Gadoury วัย 15 ปี ได้ทำการสำรวจเมืองมายาโบราณ โดยใช้ทฤษฎีที่เขาเป็นผู้ค้นพบว่าชาวมายาจะสร้างเมืองตามตำแหน่งของดาวบนท้องฟ้า
วิลเลียมได้ลองเปรียบเทียบภาพถ่ายดาวเทียมจาก Canada Space Agency และแผนที่ของ Google Maps เพื่อสำรวจดินแดนมายาเก่าแก่ในคาบสมุทรยูกาตัง ประเทศเม็กซิโก

เขาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองมายาที่ถูกค้นพบมาก่อนแล้ว 117 แห่ง และพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างที่ตั้งของเมืองและตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า
วิลเลียมทำการสำรวจดวงดาวมากกว่า 23 กลุ่ม และในระหว่างที่กำลังสำรวจดาวกลุ่มสุดท้าย ก็พบว่าที่ตั้งของกลุ่มดาวนั้นตรงกับเมืองมายาโบราณเพียง 2 เมือง ขณะที่ดาวมีอยู่ด้วยกัน 3 ดวง ดังนั้นเขาจึงได้เปรียบเทียบภาพถ่ายของแผนที่โลกเข้ากับแผนที่ดาว จนพบว่าเมืองมายาโบราณที่หายไปนั้นตั้งอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในประเทศเม็กซิโก

เมืองมายาโบราณที่วิลเลียมค้นพบประกอบไปด้วยพีระมิดขนาดใหญ่สูง 86 เมตรและสิ่งก่อสร้างอีก 30 หลัง

หลังจากสำรวจภาพถ่ายดาวเทียมจนแน่ใจ วิลเลียมก็ติดต่อไปยัง Dr. Armand LaRocque ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยนิวบรันสวิก ซึ่งเผยว่าเมืองแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอารยธรรมมายา

วิลเลียมได้รับเกียรติให้ตั้งชื่อเมืองแห่งนี้ในฐานะผู้ค้นพบ เขาเรียกมันว่า “Fire Mouth”
“เมื่อผมได้ติดต่อกับดอกเตอร์ LaRocque ในเดือนมกราคม เราได้สำรวจพบพีระมิดและสิ่งก่อสร้าง 30 แห่งที่พิเศษมาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมชาวมายาจึงสร้างเมืองห่างไกลจากแม่น้ำในดินแดนลึกลับบนภูเขา”

เขาเชื่อว่าชาวมายาจะต้องมีเหตุผลอื่นในการสร้างเมืองที่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าชาวมายานับถือดวงดาวและสร้างเมืองให้ตรงกับตำแหน่งของดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดบนท้องฟ้า

ทฤษฎีนี้นำเขาไปสู่การค้นพบเมืองมายาโบราณที่หายสาบสูญ เมืองที่แม้แต่นักโบราณคดีก็ไม่เคยเดินทางเข้าไปถึง “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในการค้นพบครั้งนี้ก็คือความเฉลียวฉลาดของวิลเลียมที่สามารถเชื่อมโยงแผนที่ดาวเข้ากับถิ่นฐานและความเชื่อของชาวมายาได้”

ข้อมูลเพิ่มเติม: อย่างไรก็ตามหลังจากที่ข่าวนี้ได้แพร่ออกไป ได้มีนักมานุษยวิทยาออกมาตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ และยังไม่ได้มีการลงขุดค้นตรวจสอบยังพื้นที่จริงจัง ซึ่งต้องรอการพิสูจน์อีกครั้งว่าจะมีเมืองโบราณอย่างที่หนุ่มน้อยได้คิดไว้หรือไม่

อิบน์ อัล-ไฮตัม บิดาเรื่องแสงตัวจริงรู้ก่อน "นิวตัน" 700 ปี


"อิบน์ อัล-ไฮตัม" บิดาเรื่องแสงตัวจริงรู้ก่อน "นิวตัน" 700 ปี
ภาพวาด "อิบน์ อัล-ไฮตัม" ในจินตนาการของศิลปิน (บีบีซีนิวส์)
        
ก่อนหน้า "ไอน์สไตน์" นักฟิสิกส์ที่ทุกคนยกย่องให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะ ก็มี "นิวตัน" ที่ได้รับยอมรับให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่ก่อนหน้าผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงจะสร้างผลงานที่สุดยอดทางด้านแสงแล้ว ย้อนไป 700 ปี นักฟิสิกส์แห่งโลกมุสลิม "อิบน์ อัล-ไฮตัม" คือบิดาแห่ง "ทัศนศาสตร์" ตัวจริง   
       
ศ.จิม อัล-คาลีลี (Prof.Jim Al-Khalili) จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ 
(University of Surrey) สหราชอาณาจักร ได้เขียนบทความในบีบีซีนิวส์ ซึ่งเผยให้เราได้รู้จัก "อัล-ฮัสซัน อิบน์ อัล-ไฮตัม" (al-Hassan Ibn al-Haytham) นักฟิสิกส์อาหรับ ที่เขาถือว่าเป็น "ยักษ์ใหญ่" ที่วางบ่าให้ "เซอร์ไอแซค นิวตัน" (Sir Isaac Newton) ได้ขึ้นยืน เพื่อต่อยอดความรู้เรื่องแสงหรือทัศนศาสตร์ (optics) ซึ่งในตำราเรียนของเรา ก็บอกเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยกับการทดลองอันโด่งดังของเขาเรื่องเลนส์และปริซึม การศึกษาธรรมชาติของแสง การสะท้อน การหักเหและแยกสเปกตรัมของแสงเป็นสีรุ้ง
           
"กระนั้นผมก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในสาขาทัศนศาสตร์ ซึ่งนิวตันเองได้ยืนอยู่บนไหล่ยักษ์ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อ 700 ปีก่อนหน้าโดยไร้ข้อกังขา ยังมีนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อื่นอีก ที่มีค่าควรแก่การจัดอันดับเคียงคู่นิวตัน ผู้เกิดในปี ค.ศ.965 ณ ดินแดนที่ปัจจุบันคือ ประเทศอิรัก นามว่า อัล-ฮัสซัน อิบน์ อัล-ไฮตัม ชาวตะวันตกจำนวนมากอาจจะไม่เคยได้ยินชื่เขามาก่อน" ศ.อัล-คาลีลี ระบุ และกล่าวว่า ในฐานะนักฟิสิกส์เขามีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากผลงานของอิบน์ อัล-ไฮตัม และเขายังมีโอกาสได้ค้นประวัติชีวิตและผลงานของนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ เพื่อผลิตสารคดีเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์มุสลิมในยุคกลางให้กับสถานีบีบีซี
              
จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันทั่วไป บ่งชี้ว่าไม่มีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญๆ เกิดขึ้นระหว่างยุคกรีกโบราณและยุคเรเนสซองส์ของยุโรป ทว่าเพียงเพราะยุโรปเข้าสู่ยุคมืด ก็ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นจะต้องซบเซาตามไปด้วย ศ.อัล-คาลีลีระบุว่า ตรงกันข้าม ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 9-13 กลับเป็นยุคทองของวิทยาศาสตร์ในชนชาติอาหรับ โดยความก้าวหน้าที่สำคัญๆ ได้แก่ศาสตร์ทางด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การแพทย์ ฟิสิกส์ เคมีและปรัชญา ท่ามกลางอัจฉริยะทั้งหลายในยุคดังกล่าว อิบน์ อัล-ไฮตัมโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ 
       
ทั้งนี้ อิบน์ อัล-ไฮตัมได่รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่" (father of the modern scientific method) ซึ่งระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่โดยทั่วไปหมายถึงความพยายามสืบเสาะหาความจริงในปรากฏกการณ์ธรรมชาติ การใฝ่หาความรู้ใหม่ การปรับแก้ความรู้เก่าหรือบูรณาการความรู้เดิมเข้าด้วยกัน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเก็บข้อมูลผ่านการสังเกตและวัดผล ตามด้วยการออกกฎและทดสอบสมมติฐานเพื่ออธิบายถึงข้อมูลที่ได้ 
       
"นี่คือสิ่งที่เราทำในวิทยาศาสตร์ยุคนี้และเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงเชื่อมั่นในความก้าวหน้าที่สร้างขึ้นจากวิทยาศาสตร์ แต่ก็บ่อยครั้งที่ยังมีการอ้างว่า ไม่มีการกำหนดระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์ยุคใหม่จนกระทั่งฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) และ เรเน ดีสคาร์เตส (Rene Descartes) กำหนดขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตามผมไม่แคลงใจเลยว่า อิบน์ อัล-ไฮตัมคือคนแรกที่สร้างระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์ขึ้น ในความเป็นจริงด้วยการให้ความสำคัญ ต่อข้อมูลการทดลองและการทดลองซ้ำของเขา เขาจึงได้รับการอ้างถึงบ่อยๆ ว่าเป็น "นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงคนแรกของโลก" ศ.อัล-คาลีลีระบุ
              
ศาสตราจารย์แห่งเซอร์เรย์กล่าวด้วยว่า อิบน์ อัล-ไฮตัมเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ที่ให้การคำนวณที่ถูกต้องว่า เรามองเห็นวัตถุได้อย่างไร เขาพิสูจน์ด้วยการทดลองจริง ตัวอย่างเช่นทฤษฎีที่เรียกว่า "ทฤษฎีการเปล่ง" (emission theory) ซึ่งอธิบายว่า แสงจากตาเราส่องไปบนวัตถุที่เราเห็น และนักคิดผู้ยิ่งใหญ่อย่างพลาโต (Plato) ยูคลิด (Euclid) และปโตเลมี (Ptolemy) ต่างเชื่อในทฤษฎีดังกล่าว แต่อิบน์ อัล-ไฮตัมได้พิสูจน์ว่าไม่จริงและเสนอแนวคิดใหม่ว่าเราเห็นได้เพราะแสงเดินทางเข้าสู่ตาเรา
      
       นอกจากนี้ เขายังทำในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นไม่เคยลองมาก่อน นั่นคือใช้คณิตศาสตร์อธิบายและพิสูจน์เรื่องนี้ อีกทั้งเขายังได้รับการยอมรับว่า เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีคนแรกๆ ด้วย     
        
แต่ทั้งนี้เขาอาจเป็นที่รู้จักดี ในฐานะผู้ประดิษฐ์กล้องรูเข็ม ซึ่งเขาควรได้รับการสรรเสริญควบคู่ไปกับการค้นพบกฎการหักเหของแสงด้วย และเขายังทดลองกระเจิงแสงออกเป็นสีต่างๆ สำเร็จเป็นคนแรก รวมถึงศึกษาเรื่องเงา รุ้งและอุปราคา ซึ่งจากการสังเกตการกระจายของแสงอาทิตย์ในชั้นบรรยากาศ เรายังคำนวณความสูงของชั้นบรรยากาศได้ค่อนข้างใกล้เคียงด้วย โดยคำนวณว่ามีความสูงประมาณ 100 กิโลเมตร
              

เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในบรรดานักปราชญ์สมัยนี้ อิบน์ อัล-ไฮตัมใช้เวลาและแยกตัวเองออกจากสังคมเพื่อเขียนบทความมากมายของเขา ซึ่งรวมถึงผลงานที่ยิ่งใหญ่ทางด้านทัศนศาสตร์ของเขาด้วย
             
อย่างไรก็ดีเขาได้เผชิญกับโชคร้ายที่ไม่ได้รับเชิญเมื่อ ค.ศ.1011-1021 เขาถูกขังคุกในอียิปต์ หลังภารกิจที่ได้รับมอบจากกาหลิบ (ผู้นำทางศาสนาของโลกมุสลิม) ให้แก้ปัญหาน้ำท่วมในแม่น้ำไนล์ 
       
ทั้งนี้ขณะอยู่ที่บาสราในอิรักอิบน์ อัล-ไฮตัมระบุว่าน้ำท่วมแม่น้ำไนล์ในฤดูใบไม้ร่วงว่า สามารถรับมือได้ด้วยการสร้างเขื่อนกั้นทำนบ และทำคลองส่งน้ำ ซึ่งจะช่วยเก็บน้ำไว้ได้จนถึงหน้าแล้งในฤดูร้อน แต่เมื่อไปถึงเมืองไคโรของอียิปต์เขาก็นึกขึ้นได้ว่าแผนการของเขานั้นใช้ไม่ได้ผลอย่างเต็มที่ในเชิงวิศวกรรม
         
แต่แทนที่จะยอมรับความผิดพลาดต่อกาหลิบผู้ร้ายกาจและอำมหิต เขาจึงแสร้งเป็นคนวิกลจริตเพื่อหนีการได้รับโทษ แต่เขาก็ถูกนำไปขังคุกในชั้นใต้ดินซึ่งทำให้เขามีเวลาเก็บตัว ในการทำงานเงียบๆ อยู่ 10 ปี หลังการเสียชีวิตของกาหลิบ เขาก็ได้รับการปล่อยตัวและกลับไปยังอิรักซึ่งเขาได้เขียนผลงานนับ 100 ชิ้น ในสาขาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์
             
ระหว่างการเดินทางไปในตะวันออกกลาง เพื่อถ่ายทำสารคดี ศ.อัล-คาลีลีระบุว่า เขาได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในอเล็กซานเดรีย ซึ่งให้เขาได้ดูผลงานทางด้านดาราศาสตร์ของอิบน์ อัล-ไฮตัม ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นผลงานที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า "กลไกของดวงดาว" ซึ่งอธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ และนำไปสู่ผลงานของชาวยุโรปหลายๆ คนอย่าง โคเปอร์นิคัส (Copernicus) กาลิเลโอ (Galileo) เคปเลอร์ (Kepler) และนิวตัน (Newton)
      
       "มันยากที่จะเชื่อว่า นักฟิสิกส์ทุกวันนี้ เป็นหนี้ชาวอาหรับที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา" ศ.อัล-คาลีลีกล่าว

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ึลึกลับมากๆเทคโนโลยอายุล้านปี


เทคโนโลยีจิ๋วอายุล้านปี
เราลองมาดูของขี้ปะติ๋วกันสักหลายๆชิ้นดีไหมครับ เป็นวัตถุโบราณที่คาดอายุว่าจะอยู่ในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene: ประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว) 

วัตถุในภาพที่เห็นขุดพบบริเวณเทือกเขายูราลในรัสเซีย จากรายงานเท่าที่ได้ในปัจจุบันโดยสถาบัน Central Scientific Research Institute for Geology and Prospecting for Precious and Non-Ferrous Metals (ZNIGRI) (ชื่อยาวจริงๆ..) ในมอสโคว์กล่าวว่า ชิ้นส่วนต่างๆที่ขุดพบนั้นน่าจะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่มาจากต่างดาว หลังจากต้นปี 1990 เป็นต้นมา ได้มีการสำรวจบริเวณนั้นอย่างกว้างขวางและพบวัตถุปริศนาอีกมากมายหลายชิ้น 

โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำ Narada, Kozim, และ Balbanyu ในบริเวณเทือกเขายูราลด้านตะวันออก วัตถุเล็กๆดังกล่าวถูกขุดพบมากมายนับพันชิ้น โดยมากจะพบในชั้นดินที่ลึกลงไปประมาณ 10 -40 ฟุต

วัตถุประหลาดดังกล่าวมีขนาดที่น่าทึ่งากครับ คือตั้งแต่ใหญ่สุดประมาณ 3 เซ็นติเมตรจนถึงเล็กสุดซึ่งมีขนาดเพียง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 1/10,000 นิ้วนั่นเชียว ก็ดังที่เห็นในภาพแหละครับ 

วัตถุพวกนี้มีลักษณะเป็นเกลียวจิ๋วและตอนแรก นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช้ทำอะไรได้ มีนักโบราณคดีบางคนตั้งทฤษฎีว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง โธ่เอ๋ย... 

ใครกันครับจะทำเครื่องประดับจิ๋วมหาจิ๋วแบบนี้ออกมาใส่กัน ครั้งจะเป็นเครื่องกลหรืออะไรเทือกนั้นมันก็เล็กไปอีกนั้นแหละ หลายชิ้นมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับเป็นนาโนแม็คคานิคส์โดยแท้เลยครับ 

วัตถุดังกล่าว ทำมาจากโลหะผสมหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็นทังสเตน โมลิบดินัม และทองแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าทังสเตนและโมลิบดินัมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมมาก มีจุดเดือดสูง การจะหลอมและผสมนำมาใช้งานจำต้องใช้ความร้อนมหาศาลและเทคโนโลยีทาง อุตสาหกรรมที่สูงมาก 

เพราะแม้ในปัจจุบันเราก็ยังใช้โลหะสองประเภทนี้ในอุตสาหกรรมบางอย่างเท่า นั้น (เช่นในอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้า หรือ การผลิตยุทโธปกรณ์) Dr. Valerii Ouvarov แห่ง the Russian Academy ofSciences ในเซนต์ปีเตอสเบิร์กได้ทำการวิเคราะห์วัตถุลึกลับเหล่านี้ และก็ได้แต่ส่ายหน้าเนื่องจากความสนเท่ในที่ไปที่มาของมัน


ปัจจุบัน เราทราบกันเพียงว่า วัตถุชิ้นจิ๋วดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามันถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อะไรเมื่อครั้งกระโน้น แต่อายุอานามของมัน ถูกแถลงจากนักวิทยาศาสตร์รัสเซียว่า มีช่วงอายุอยู่ราวๆเมื่อหนึ่งล้านปีก่อนอย่างแน่นอน
นี่คือ... ขั้วไฟฟ้าสมัยครึ่งล้านปีที่แล้ว...
เป็นวัตถุประหลาดอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ทราบที่มาของมัน มันถูกห่อหุ้มด้วยดินที่กลายเป็นหินมากว่าครึ่งล้านปี เจ้าวัตถุชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ the Coso artifact ถูกค้นพบที่ยอดเขาในแคลิฟอร์เนีย 

ลักษณะของมันเหมือนขั้วไฟฟ้าหรือปลั๊กอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำมาจากโลหะแข็งและเปล่งประกาย นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยมันบอกว่า เจ้าวัตถุชิ้นนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการสร้างซูเปอร์คอนดัคเตอร์ หรือตัวนำยิ่งยวดในปัจจุบัน
เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครพบหลักฐานอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เงื่อนงำพอที่จะคลำทางไปสู่ต้นกำเนิดของขั้วไฟฟ้า อายุห้าแสนกว่าปีนี้ได้

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

จุดสิ้นสุด “กำแพงเมืองจีน” จะมีจุดสิ้นสุดที่นี่ !


จุดสิ้นสุด “กำแพงเมืองจีน” ที่ยาวหลายพันกิโลเมตร ใครจะเชื่อ จะมีจุดสิ้นสุดที่นี่ !

ใครเคยไปเที่ยวที่เมืองจีน คงเคยไปเหยียบกำแพงเมืองจีนมาบ้างแล้ว แต่น้อยคนจะรู้ว่ากำแพงเมืองจีนเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ไหน เพราะเคยไปเที่ยวบางจุดของกำแพงเมืองจีนเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะบอกว่า มีคนจีนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่ามีจุดหนึ่งที่”กำแพงเมืองจีน”จรดทะเล จุดนั้น เรียกว่า Laolongtou หรือ “หัวมังกรโบราณ”

เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองจีนที่ไปสิ้นสุดทางทิศตะวันออก และนำไปสู่ทะเล Bohai ซึ่งตั้งอยู่ในเขตการปกครองของ Shanhaiguan Qinhuangdao ประมาณ 300 กิโลเมตร หรือ 190 ไมล์ ทางทิศตะวันออกของกรุงปักกิ่ง

ภาพที่เห็นกำแพงเมืองจีนลงไปในทะเล ชาวบ้านจะเรียกว่า “มังกรดื่มน้ำ” เนื่องจากกำแพงเมืองจีนแถวนั้นเรียกว่า”หัวมังกรโบราณ”นั่นเอง

นอกจากนั้น กำแพงเมืองจีน ยังถูกขนานนามว่า กำแพงหมื่นลี้ นักโบราณคดีได้ตรวจวัดความยาวอย่างเป็นทางการนานร่วม 5 ปี ตั้งแต่ 2008-2012 และพบว่ายาวกว่าที่บันทึกไว้เดิมกว่า 2 เท่า หรือ 21,196.18 กิโลเมตร จากเดิม 8,850 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย

ปริศนาของกำแพงเมืองจีน


ปริศนาของกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่รู้
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักกำแพงเมืองจีนอันนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ก่อนอื่นเลยก็ต้องมารู้จักกับเจ้าสิ่งก่อสร้างที่สามารถมองเห็นจากนอกโลกอันนี้เสียก่อนว่าเจ้ากำแพงเมืองจีน ที่เสมือนหนึ่งมังกรโบราณตัวมหึมาพาดผ่านกินเนื้อที่ร่วม 6,400 กิโลเมตรนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่มีปริศนา และความเข้าใจผิดหลายอย่างที่แฝงอยู่ในความยิ่งใหญ่เคียงคู่กับประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย

ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องกองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย

กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า 

"ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน

ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน

ข้อแรกหลายคนเชื่อว่าจิ๋นซีฮ่องเต้สร้างกำแพงเมืองจีน?
คนทั่วไปที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับประวัติศาสตร์จีน หรือเรื่องเกี่ยวกับจีนๆหลายคนอาจจะเข้าใจว่าปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ฉิน หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวง) เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นมา จนกระทั่งในตำรา เวบไซต์ หรือสื่อต่างๆถึงกับฟันธงไปเช่นนั้น แต่ทว่า ในความเป็นจริง จุดเล็กๆบางจุดของกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เกือบ 6,000-7,000 ปีก่อน โดยชนเผ่าบางกลุ่มที่สร้างกำแพงจากดินขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองจากสัตว์ร้าย เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง จึงมักไม่ถูกพูดถึง
กระทั่งสมัยราชวงศ์โจว เมื่อราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นยุคศักดินาที่มีการรบราระหว่างแคว้นต่างๆในประเทศจีน (บางตำราใช้คำว่ารัฐ)กษัตริย์แคว้นฉู่ได้ริเริ่มดำเนินการก่อสร้างกำแพงขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่น อาทิ แคว้นฉี เยียน เว่ย จ้าว และฉิน ซึ่งต่อมาแคว้นเหล่านี้ก็ได้หันมาลงมือก่อสร้างกำแพงต้านข้าศึกตามอย่างบ้าง จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้น และโครงสร้างพื้นฐานของกำแพงหมื่นลี้ ที่กระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆของจีน
เมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปฐมจักพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน) ที่ได้ผนึกรวมทั้งหกแคว้นใหญ่ที่กระจัดกระจายเป็นหนึ่งแล้ว เพื่อป้องกันแผ่นดินภาคกลางจากการรุกรานและคุกคามของเผ่าซงหนูทางเหนือ พระองค์ได้ทำการเชื่อมร้อยกำแพงเมืองจีนทางตอนเหนือของแคว้นฉิน เยี่ยน และจ้าวที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากยาวจากตะวันตกที่หลินเถา ทอดตัวยาวเรื่อยไปสุดที่เหลียวตงทางตะวันออก และมีระยะทางกว่า 5,000 ลี้ กระนั้นกำแพงหมื่นลี้หรือกำแพงเมืองจีนที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นกำแพงที่รับได้การบูรณะต่อเติมเรื่อยมาหลายครั้งตั้งแต่ในสมัยของราชวงศ์ฮั่น เรื่อยไปถึงราชวงศ์หมิงสืบมา

ข้อสองเวลาสร้างของกำแพงเมืองจีนสร้างในระยะแค่ชั่วอายุคนจริงหรือ?
คำถามว่ากำแพงเมืองหมื่นลี้ ใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่? เพราะผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์นี้ ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร? ใช้เวลาเท่าไหร่ ณ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงของนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าหากจะนับกำแพงหมื่นลี้ที่เห็นในปัจจุบัน ก็ต้องคำนวณจากราว 700 ปีก่อนคริสตศักราช มาจนถึงราชวงศ์หมิงที่ปี ค.ศ.1368-1644 หรือเท่ากับใช้เวลาก่อสร้างบูรณะ พูดง่ายๆ ว่าซ่อมทั้งสิ้นประมาณ 2,100-2,300 ปีแต่ทว่า ซึ่งเจ้าผลงานอันยิ่งใหญ่นี้ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่?

มหาอาณาจักรราชวงศ์ฉินเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตศักราช และจบสิ้นที่ราว 207 ปีก่อนคริสตศักราช ทว่าโครงการก่อสร้างนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 215 ปีก่อนคริสตศักราช ในขณะที่จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจสอบชายแดนทางเหนือด้วยตัวของพระองค์เอง จนได้กำหนดแผนการก่อสร้างอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น กระทั่ง 207 ปีก่อนคริสตศักราชก็ถือเป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ฉิน

แต่ตามประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกว่า เมื่อ 210 ปีก่อนคริสตศักราช ชนเผ่าซงหนูทางเหนือได้เริ่มต้นรุกรานจีนจนไม่น่าจะสามารถทำการก่อสร้างต่อได้ ทำให้นักวิชาการหลายฝ่ายเชื่อว่า กำแพงเมืองจีนในสมัยราชวงศ์ฉินนี้ ถูกสร้างภายในระยะเวลาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น และแน่นอนว่าการก่อสร้างในระยะเวลาสั้นๆเท่านี้ ย่อมต้องอาศัยกำลังคนอย่างมหาศาลมากกว่าแสนคน แต่หากไม่มีวิธีการที่ดี การก่อสร้างมหึมาเช่นนี้ต่อให้ใช้เวลาเป็นร้อยปีก็ยากที่จะสร้างสำเร็จได้

ปัญหาใหญ่ที่สุดของการสร้างกำแพงแสนยาวคือการขนส่ง เพราะหากต้องคอยขนส่งวัสดุในการก่อสร้าง จะทำให้เสียเวลามาก กำแพงเมืองจีนจึงเลือกการหาวัสดุจากบริเวณก่อสร้าง เพื่อประหยัดเวลาในการลำเลียงขนส่ง และแบ่งการก่อสร้างเป็น 3 ประเภทได้แก่กำแพงที่สร้างด้วยดิน กำแพงที่สร้างด้วยหิน และกำแพงที่สร้างด้วยไม้ ตามแต่วัสดุอุปกรณ์ที่สะดวกจะหาได้ในบริเวณต่างๆ

ข้อสุดท้ายตำนานรักเมิ่งเจียงหนี่มีจริงไหม?
นิทานโบราณเกี่ยวกับเมิ่งเจียงหนี่ หญิงชาวบ้านที่ฝ่าลมหนาวมุ่งขึ้นเหนือตามหาสามีรักนามฟ่านสี่เหลียง ผู้ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานก่อสร้างกำแพงเมืองหลังแต่งงานได้เพียง 3 วัน การเดินทางครั้งนี้นางหวังเพียงเพื่อจะได้มอบเสื้อกันหนาว ที่ตนเองบรรจงเย็บขึ้น ทว่านางกลับต้องพบกับข่าวร้าย...สามีอันเป็นที่รักของนางนั้นได้เสียชีวิตไป เนื่องจากทนทรมานกับความยากลำบาก และศพก็ถูกฝังอยู่ภายใต้กำแพงเมือง
นางร่ำไห้คร่ำครวญน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ 7 วัน 7 คืน (บ้างว่า 3 วัน 3 คืน) จนในที่สุดทำให้กำแพงเมืองยาวหลายร้อยลี้พังทลายลงมาทั้งแถบ เผยให้เห็นซากอันไร้วิญญาณของสามี เมื่อนั้นเอง นางจึงตัดสินใจกระโดดเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงตายอยู่เคียงสามี ณ ที่แห่งนั้น (บ้างว่ากระโดดน้ำตาย)

ตำนานนี้ เป็นอีกประเด็นที่ถูกถกเถียงไม่น้อย บ้างก็ว่ามีจริง บ้างก็ว่าแต่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ได้ออกมาอ้างบันทึกทางประวัติศาสตร์หลายเล่ม รวมถึงหนังสือ “จั่วจ้วน” (左传) ระบุว่า ในรัชสมัยฉีจวงกง ปีที่ 4 แม่ทัพฉี่เหลียงนำกองทหารออกรบกับจี่ว์กั๋ว (ซันตงในปัจจุบัน) แล้วเสียชีวิต ภรรยาของเขา คือนางเมิ่งเจียงหนี่ ได้เดินทางมาที่หลุมศพ แล้วร่ำไห้ด้วยความอาลัยรักจนกำแพงเมืองฉีพังไปบางส่วน หลังจากนั้นก็กระโดดลงแม่น้ำจือเหอตายตามสามีไป

“ตำนานเรื่องนี้ผ่านการต่อเติมเสริมแต่งมาหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ถัง เริ่มจากร้องไห้ให้สามีจนกำแพงเมืองฉีพัง ก็เพี้ยนมาเป็นกำแพงเมืองฉิน(ฉินฉางเฉิง) นายพลฉี่เหลียงก็เพี้ยนมาเป็นว่านสี่เหลียง หรือไม่ก็ฟ่านสี่เหลียง ยิ่งเล่าสืบต่อกันมาก็ยิ่งขยายวงกว้างออกไป” หวังพีจั๋ว รองหัวหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมณฑลซันตงกล่าว
อย่างไรก็ตาม จวบกระทั่งปัจจุบัน กำแพงเมืองจีน ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ที่เป็นแหล่งรวมซึ่งสติปัญญา หยาดเหงื่อ เลือดเนื้อและชีวิตของชาวจีน ที่แฝงไว้ซึ่งความงดงาม ด้วยลักษณะอันคดเคี้ยวพาดผ่านทิวเขามากมาย อีกทั้งมนต์เสน่ห์แห่งตำนาน ที่จะถูกเล่าขานต่อไปอีกนานเท่านาน

ลายเส้นนัซก้า ปริศนาลึกลับของโลกโบราณเมื่อ 1,000 ปีก่อน


ลายเส้นนัซก้า หนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกโบราณเมื่อ 1,000 ปีก่อน

“ลายเส้นนัซก้า” (Nazca Lines) หนึ่งในอารยธรรมโบราณที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทรายนัซกา ระหว่างเมืองนัซกากับเมืองปัลปาในแคว้นอีกา ประเทศเปรู 

สันนิษฐานว่าชาวนัซกาโบราณ (ซึ่งครอบครองดินแดนเปรูมาก่อนยุคจักรวรรดิอินคา) ขุดลายเส้นเหล่านี้ขึ้นเมื่อประมาณช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงประมาณปี ค.ศ. 500 ชาวนัซกาโบราณทำอาชีพเกษตรกรเพาะปลูกอยู่บนที่ราบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แต่พวกเขาไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย การศึกษาหาข้อมูลทั้งหมดจึงมาจากการศึกษาสุสานและข้าวของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพเท่านั้น ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงทำลวดลายเหล่านี้ขึ้น

ลายเส้นนัซก้าที่ทำขึ้นเป็นวิธีเดียวกันหมด คือ ขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก แล้วเปิดให้เห็นชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ด้านใน ไม่มีร่องรอยการใช้สัตว์ช่วยแม้แต่น้อย และภาพเป็นเส้นเดียวไม่ขาดตอน ภาพของลายเส้นนัซกาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือภาพที่มีลักษณะเป็นรูปทรงเรขาคณิต เช่น เส้นตรง วงกลม สามเหลี่ยม และภาพที่เป็นเส้นลาย เช่น นก แมงมุม ปลา ลิง กิ้งก่า คางคก จิ้งจก ตุ๊กแกเสือ รวมไปถึงภาพคนด้วย

แผนที่ตำแหน่ง “ลายเส้นนัซก้า” (Nazca Lines)
ลายเส้นลึกลับมีมากมายนับร้อยภาพ ลายเส้นขนาดใหญ่ที่สุดมีความกว้างถึง 270 เมตร ส่วนลายเส้นที่เป็นภาพสัตว์ต่างๆ เช่น ภาพนก มีขนาด 93 เมตร ภาพลิงมีขนาด 93 เมตรเป็นต้น และเนื่องจากขนาดของภาพที่ใหญ่โต จึงทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไรเมื่อมองจากระดับพื้นดิน แต่ถ้ามองจากระดับที่สูงเหนือพื้นดินประมาณ 500 เมตร จึงจะเห็นลายเส้นเป็นรูปร่างต่างๆ ได้อย่างชัดเจน 

(น่าแปลกใจที่คนโบราณ หรือใครที่สร้างภาพนี้ขึ้นมาในยุคโบราณเขาทำไมถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด)

หนึ่งในภาพที่ชวนพิศวงที่สุดก็คือภาพที่ได้รับการเรียกขานว่า “มนุษย์อวกาศ” ที่เป็นร่างของมนุษย์ตัวยักษ์กำลังชูมือข้างหนึ่งคล้ายคลึงว่ากำลังทักทายใครสักคน แต่อย่าลืมว่าลายเส้นนัซก้านั้นถ้ามองจากบนพื้นจะไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นรูปอะไร ต้องขึ้นไปมองจากฟากฟ้าลงมาเท่านั้นถึงจะเห็น นั่นแปลว่ามนุษย์อวกาศร่างนั้นกำลังทักทายใครสักคนจากนอกโลกหรือไม่ เป็นอีกหนึ่งความลี้ลับของลายเส้นนัซก้าที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด

รายการบล็อกของฉัน