Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ชาวบ้านขุดพบวัตถุล้ำค่าที่สาปสูญกว่า 2500 ปี


ฮือฮาจนตาเหลือก!เมื่อ ชาวบ้านขุดพบวัตถุล้ำค่าที่สาปสูญกว่า 2500 ปี ยืนยันของแท้เกิดเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์กาล 
เป็นเรื่องราวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ของชาวเวียตนามที่ชาวบ้านได้ขุดพบเจอ สิ่งของในประวัติศาสตร์ เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์กาล และยังถือได้ว่าเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าที่หาที่เปรียบไม่ได้ เพราะยุคสมัยนี้แทบจะไม่มีหลงเหลือให้ได้เห็นกันอีกแล้ว..

เรื่องราวของการขุดพบเจอวัตถุโบราณล้ำค่านี้ถูกเปิดเผยโดยเพจดังอย่าง China Xinhua News ที่ได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวบ้านคนเวียตนามที่ได้ขุดพบเจอกลองสัมฤทธิ์ที่มีอายุกว่า 2500 ปี โดยได้ระบุเนื้อหาใจความรายละเอียดเอาไว้ดังนี้..

วันจันทร์ที่ 26 ก.ย. ศูนย์อนุรักษ์ได้ประกาศค้นพบกลองสัมฤทธิ์ดงเซิน (Đông Sơn) ที่มีอายุราว 2,000 – 2,500 ปี ในบริเวณใกล้กับแหล่งมรดกโลก ในอำเภอหวิญหลก (Vĩnh Lộc) จังหวัดแทงหวา (Thanh Hoá) ทางตอนกลางของเวียดนาม

ศูนย์อนุรักษ์ป้อมปราการราชวงศ์โฮประกาศว่า ระหว่างการสร้างอาคารมูลนิธิในบริเวณนั้น ชาวบ้านได้พบกลองโบราณอยู่ห่างจากป้อมปราการแห่งราชวงศ์โฮราว 1 กิโลเมตร ซึ่งถูกบันทึกไว้ให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2011

กลองที่ค้นพบถูกระบุว่าเป็นกลองมโหระทึกสำริดแบบเฮเกอร์ 1 ที่ถูกตกแต่งและมีลวดลายที่ซับซ้อน ทว่าบางส่วนก็ชำรุดเสียหาย สำหรับขนาดนั้น กลองดังกล่าวมีมิติภายนอกอยู่ที่ 59 เซนติเมตร และความสูง 43 เซนติเมตร

กลองสัมฤทธิ์ดงเซินเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมดงเซิน ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงของเวียดนาม เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์กาล หรือก่อนหน้านั้นจนกระทั่งศตวรรษที่สามของคริสต์ศักราช ซึ่งถือเป็นงานโลหะที่ดีที่สุดของวัฒนธรรมนี้

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

เมื่อนักโบราณคดีขุดค้นพบการสังหารหมู่ 80 ศพในกรีกยุคโบราณ


นักโบราณคดีขุดค้นพบการสังหารหมู่ 80 ศพในกรีกยุคโบราณการค้นพบในกรีซที่ทำให้คุณต้องทำใจในเรื่องกระดูกคนตายเพราะมีกระดูกคนตายกว่า 80 ศพที่ถูกฝังไว้ในสุสานโบราณ

ข้อมือถูกสวมด้วยห่วงโซ่เหล็กที่ยังค้างอยู่ คาดว่าจะเป็นเหยื่อของการสังหารหมู่ศพเหล่านี้ถูกค้นพบในสุสาน Falyron Delta necropolis 

บางศพนอนเรียงรายเป็นระเบียบหรือซ้อนทับกันอยู่แต่บางศพมีขากรรไกรเปิดอ้า(คล้ายกับเจ็บปวดเต็มที่)

แม้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้จะเพิ่งขุดค้นพบในช่วงต้นปี
แต่ยังไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าเยี่ยมชมนักโบราณคดีให้สัมภาษณ์กับ Reuters ระบุว่าโครงกระดูกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสังหารหมู่
" พวกเขาต่างถูกฆ่าทิ้งในแบบเดียวกัน
แต่ก็ได้รับการฝังแบบให้เกียรติ "

พวกเขาทุกคนต่างมีสภาพถูกร้อยรัดและโยงด้วยห่วงโซ่บนมือ

และโครงกระดูกหลายคนในจำนวนนั้นยังวัยเยาว์มาก ๆ "ตอนที่ถูกฆ่าทิ้ง "

(สังเกตได้จากโครงกระดูกกับร่องปิดบนกระหม่อมของกระโหลกศีรษะ)

Stella Chryssoulaki หัวหน้าทีมขุดค้นในหลุมโบราณคดี

แต่เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงถูกสังหารยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่
เพราะวิธีการฝังศพของพวกเขามีการตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาน่าจะไม่ใช่พวกทาสหรืออาชญากร

มีทฤษฏีหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ
Cylon ชนชั้นสูงชาวเอเธนส์และแชมเปี้ยนนักกีฬาโอลิมปิคที่พยายามก่อการรัฐประหารใน Athens ช่วงปี 632 ก่อนคริสตศักราช

ด้วยความช่วยเหลือจากทรราชแห่ง Megara ผู้เป็นพ่อตาแต่การรัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลว

Cylon หลบหนีไปได้แต่ผู้ร่วมก่อการต่างถูกฆ่าตายทั้งหมด

" บางทีการตรวจสอบ DNA อาจจะทำให้เราระบุได้แน่ชัดว่าโครงกระดูกเหล่านี้ยืนยันสมมุติฐานว่าเป็นการก่อการรัฐประหารไม่ใช่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆเพราะคนหนุ่มสาวเหล่านี้  อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทำรัฐประหาร

ที่พยายามสนับสนุนการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังของพวกชนชั้นสูง " Stella Chryssoulaki ให้สัมภาษณ์

สุสานแห่งนี้  มีอายุระหว่างศตวรรษที่ 8-5 ก่อนคริสตศักราชพบว่าถูกฝังอยู่ใต้โครงสร้างอาคารอุปรากรแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ระหว่างนอกเมือง Athens กับท่าเรือ Piraeus
มีศพรายอื่นฝังรวมอยู่มากกว่า 1,500 ศพ รวมทั้งศพเด็กในโถเซรามิค
และศพผู้ใหญ่ที่ถูกเผารวมกันหรือฝังอยู่ในโลงศพหิน

สภาพศพแบบนี้น่าจะรอพิสูจน์จากพยานหลักฐาน
1. ถ้ามีของมีคมตัดผ่านกระดูก  แสดงว่าฆ่าให้ตายก่อนฝัง
2. ถ้าไม่มีของมีคมตัดผ่านกระดูก  แสดงว่าฝังทั้งเป็นก่อนตาย
3. ให้กินยาพิษ/กรอกยาพิษให้ตายก่อนแล้วจึงจะฝัง ต้องรอพิสูจน์สารพิษตกค้างในกระดูก

ในยุคนั้น  สำหรับชนชั้นสูงมักจะให้ศัตตรู ทาสหรือคนรับใช้กินยาพิษตายแทนการฆ่าตายแบบทารุณ

โรมันกับจีนก็มีพิธีกรรมการมอบยาพิษให้ศัตรูกินแทนการประหารชีวิต

ในกรีกก็มีเช่น โสเครตีส  ที่ยอมกินยาพิษตายตามมติของชาวเอเธนส์ข้อหาทำให้พลเมืองกับวัยรุ่นปั่นป่วนเป็นภัยต่อสังคม

โสเครติสเป็นคนชนชั้นสูงที่มีทาสรับใช้ไม่ต่ำกว่า 20 คนเลยว่างจัดคนแบบนี้ ที่คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า เจียะป้าบ่อสื่อจ่อ ลี่(กินข้าวเสร็จไม่มีอะไรจะทำ)

เป็นคนที่ นิเช่  ด่าว่าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์เป็นคนบ้า คนไร้สาระ คนไม่มีหลักการ คนไม่มีอุดมการณ์ใด ๆคนไม่สร้างสรรค์สังคม

เพราะชอบเที่ยวถามคนจนมั่วไปจนหมด
แล้วไม่เคยสรุปหรือบอกว่า ได้อะไร มีอะไร กับคำถามของแกสุดท้ายตายเพราะการกระทำตัวเอง เหมือนดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า หมองูตายเพราะงู จึงอาจจะเป็นที่มาของสุสานกระดูกลึกลับนี้ก็เป็นได้

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

สัตว์อาถรรพณ์ กับความเชื่อ


คนแต่ก่อนท่านจะทำการงานหรือกิจกรรมใดๆก็เก็บข้อมูลไว้แล้วคอยสังเกตอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือทุกสิ่งอย่างโดยเฉพาะงานใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตายหรือความผาสุกแห่งแผ่นดิน เช่น การยกทัพไปจับศึกต่างๆ ซึ่งลางและฤกษ์ทั้งหลายก็มีที่มาจากสิ่งนี้แม้ในเรื่องสัตว์และคนใกล้ตัวต่างๆก็มีการทายทักเอาไว้ไม่เว้น ดังผมไปค้นดงหนังสือเก่าจนเจอ
เรื่องสิ่งต้องห้ามที่คนโบราณท่านเรียกว่า 
“อุบาทว์ 9 อย่าง” ซึ่งผูกเป็นกลอนไว้ว่า

“จงเว้นอุบาทว์เหล่าทั้งเก้าสิ่ง หนึ่งมหิงส์ เมียสอง อย่าปองหา
สุนัข 4 วิฬาร 5 อีกบุตรา 6 คน มลทินมี
สุนัข 7 8 ม้า คชา 9 แต่ล้วนเหล่าแรงร้าย เร่งหน่ายหนี
จะถอยลดยศศักดิ์ชักอัปรีย์ เป็นราคีดังกล่าวเรื่องราวมา”

ฟังแล้วก็อย่าไปปล่อยหมาแมวที่เลี้ยงไว้ให้เหลือครบตามโบราณว่าหรือพาลูกหลานไปปล่อยทีเดียวนะครับ เพราะนี่เป็นความเชื่อแต่เก่าก่อนที่รู้ไว้ประดับสติปัญญาดีแต่ไม่ได้การันตีผลของมัน ซึ่งสิ่งที่ควรเชื่อมากกว่าคือคำแนะนำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ด้วยเมตตาว่า “สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดีและบูชาดี...”
นี่เองคือ “ฤกษ์พระพุทธเจ้า” ที่ใครเชื่อก็เจริญ
เรื่องความเชื่อใน สัตว์บางประเภทว่าให้คุณ หรือโทษได้นั้นทางฝั่ง ตะวันตกก็มีอยู่ไม่น้อย ฝั่งสยามเราก็มีอยู่มาก เรียกได้มีอยู่คู่ประวัติศาสตร์มาช้านาน โดย เฉพาะที่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆเช่นสัตว์ต่อไปนี้

นกแสก เป็นนกที่หน้าตาน่าเอ็นดูถ้าไม่จู่ๆ หันหัวขวับมา 180 องศาพร้อมด้วยตาโตๆ โดยนกตระกูลนี้เป็นญาติกับนกฮูกกับนกเค้าแมว ซึ่งนกที่มีมูฟเม้นท์คอได้ราวกับผีญี่ปุ่นนี้มีสุ้มเสียงที่ไม่ธรรมดาโดยเฉพาะ “นกแสก” 
ที่ร้องขึ้นมายามค่ำคืนเหนือบ้านใครก็จะพากันเย็นจับขั้วหัวใจด้วยเชื่อว่า มาบอกลางมรณะ นั่นเป็นที่มาของชื่อ “นกผี”

ในเรื่องของการดูนิมิตจากนกนี้คนโบราณท่านดูต่างจากเราโดยมีศาสตร์เฉพาะด้านโหราเรียกว่า “สกุณฤกษ์” ที่ให้ดูสัตว์ปีกบนท้องฟ้าก่อนที่จะทำการใดๆ เช่นออกจากบ้านหรือยกทัพไปสัประยุทธ์กันในทางปราชญ์ท่านแบ่ง “นกฝ่ายขวา” กับ “นกฝ่ายซ้าย” (ฟังดูยังกับนกการเมือง) โดยนกฝ่ายขวาคือนกหากินกลางวัน ส่วนสกุณาฝ่ายซ้ายคือชนิดที่หากินกลางคืน เลยโดนคนจับเปรียบว่าเป็นนกอัปมงคล 

คนสมัยก่อนท่านให้รายละเอียดไว้ว่า “ถ้าเห็นพญาแร้งบินมา ดุจพระยามาร ถ้าเห็นนกกระเรียนมา ดุจมนตรีหรือเสนาบดีมา ถ้าแลเห็นนกกาบินมา ดุจอำมาตย์ผู้ใหญ่มา ถ้าแลเห็นนกทั้งหลายบินมา ดุจสมณะและพราหมณ์มา”

ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่ได้แย่ทั้งร้อย เห็นไหมครับว่าความเชื่อเองก็ยังแย้งกันแม้ในตำราเก่าแก่เหมือนกัน ดังนั้นก็ขอให้ใช้เหตุผลเถิดครับเพราะนกประเภทเค้าแมว, นกแสก หรือแม้แต่แร้ง ซึ่งนกเหล่านี้มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก แต่ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

แมวดำ ความเชื่อไทยเราแต่ก่อนที่ว่าแมวดำเป็นดั่งลางร้ายบอกเหตุ เช่น ถ้ากำลังเดินทางแล้วแมวดำ “วิ่งตัดหน้า” ต้องหยุด ไม่ควรไปต่อด้วยเชื่อว่าถ้าไม่เลิกล้มการเดินทางก็จะเกิดหายนะขึ้นเป็นแน่แท้ ซึ่งข้อนี้ผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านคงเตือนไว้เพราะการที่สัตว์วิ่งตัดหน้าก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และเป็นการเตือนให้เราระมัดระวังในการเดินทางต่อไปข้างหน้ามากขึ้น

ความเชื่อเรื่องแมวดำของไทยไม่ได้ร้ายเสมอไปนะครับเพราะมีแมวดำชนิดที่เรียก “แมวโกญจา” ที่หน้าตาเป็นแมวดำปลอดทั้งตัว ขนสั้นเส้นเล็กละเอียดนุ่ม นัยน์ตาเหลือง หรือสีทองอ่อน ซึ่งบางคนรู้จักในชื่อพันธุ์ “บอมเบย์” ท่านก็ว่าเป็นแมวที่มี “คุณ” แก่ผู้เลี้ยงหนักหนา ผิดกับความเชื่อทางตะวันตกที่ว่าแมวดำเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด

สำหรับมนุษย์ที่เข้าใจดีและมีเมตตาก็ย่อมรู้ว่าความโชคร้ายนั้นหาได้มาจากสัตว์ตาดำๆไม่ หากแต่มาจากความโหดร้ายที่คนเราเลือกที่จะทำเองต่างหาก มีอาณาจักรหนึ่งที่ไม่เกลียดกลัวแมวดำแต่กลับอ้าแขนรับด้วยซ้ำ
(โชคดีของแมวดำ) 

เรื่องนี้มีข้อมูลจากองค์กรผู้ดูแลแมวนานาชาติ (International Cat Care) ว่าชาวไอยคุปต์ถือว่าแมวดำเป็น “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ที่พึงกระทำบูชาด้วยเป็นตัวแทนของเทวีแบสเต็ทที่มีพระกายเป็นนางสิงห์ ซึ่งเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับ “แมวบ้าน” ที่เป็นดั่งตัวแทนของพลัง, การปกป้องอันตราย และ ความสง่างามเพริศพราย ซึ่งล้วนแต่เป็นมงคลกับผู้ดูแลแมวเป็นอย่างดี ความเชื่อนี้มีมายาวนานหลายพันปีเลยครับ

จิ้งจกทัก การที่จิ้งจกร้องทักผู้ใหญ่สมัยก่อนท่านว่าเป็น “ลางบอกเหตุ” ที่เชื่อว่ามีทั้งดีและร้าย ไม่ใช่ว่าทักแล้วต้องไม่ดีอย่างเดียว โดยขึ้นอยู่กับ “ตำแหน่ง” แห่งที่ของการร้องทักที่ว่านี้ด้วยดังที่โบราณว่า “ข้างหน้ามีชัยไปเถิด ข้างหลังห้ามไปไม่ดี ข้างซ้ายมีชัยไปเถิด ข้างขวาห้ามไปไม่ดี ข้างบนห้ามไป จิ้งจกไต่เท้าจะมีชัยไปเถิดดี” 

เรื่องนี้เป็นความเชื่อที่อาจมองเป็นความรอบคอบของคนสมัยก่อนท่านก็ได้ เพราะที่ไหนจิ้งจกเยอะที่นั่นอาจมีงูตามมาได้ ดังนั้นการที่มันร้องกันเซ็งแซ่ก็อาจเพราะเจองู ซึ่งสมัยก่อนที่ยังมีสุมทุมพุ่มไม้เยอะก็คงต้องระวังเวลาเดินออกจากบ้านไป เห็นไหมครับว่าจิ้งจกนี้ที่จริงเป็นสัตว์น่ารักเพราะช่วยเรากินแมลงไม่ให้มารบกวนในบ้านแล้วยังช่วย “ทัก” ตามที่ต่างๆ ฝึกสมองให้เราแก้เหงาได้อีก (แฮ่)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้นทรงมีพระเมตตาสูง ประทานข้าวสุกในเครื่องฉันของท่านแบ่งจิ้มกับข้าวแล้วแปะผนังให้กับบรรดาจิ้งจกที่กุฏิ ดังนั้นท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไปกับเสียงร้องของจิ้งจกตัวน้อยเลยนะครับ
ตุ๊กแก ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับตุ๊กแกอย่างหนึ่งคือสัตว์ชนิดนี้เป็นที่สิงของดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วท่านมาเตือนด้วยการส่งเสียงร้องซึ่งมีความหมายในรูปแบบต่างๆ 

บางตำราก็ว่าให้ดูจำนวนครั้งที่ร้อง ถ้าร้อง 5 ทีไม่ดีนัก ส่วนร้อง 6 ถือว่าเจ้าของบ้านจะมีเรื่องเดือดร้อนอึดอัด ถ้าร้อง 7 ก็ยิ่งไม่ดีเพราะจะทำให้เสียทรัพย์ด้วย แต่หากตุ๊กแกร้องมากกว่านี้เช่น 8, 9 หรือ 10 ครั้งนั้นจะโชคดี มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต โบราณท่านว่าควรจะเลี้ยงไว้ (อ้าว... ปกติไม่เลี้ยงเขาก็เกาะตาโตอยู่ฝาบ้านอยู่แล้วนะฮะ) และถ้าพิเศษกว่านั้นคือถ้าร้อง 11 ครั้งนี่ถือว่าโชคดีหลายชั้นมากกับเจ้าของบ้านอาจพานพบเนื้อคู่ด้วย แต่ตำราท่านบอกถ้าร้องเบาๆ หรือน้อยกว่า 5 ครั้งก็ไม่ต้องเมื่อยหูนับก็ได้เพราะไม่มีความหมายนัก
อย่างไรก็ดีครับไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เพราะโบราณท่านว่าไว้แต่การที่บ้านมีตุ๊กแกมาอาศัยอยู่ก็แสดงว่าบ้านของท่านน่าอยู่อาศัยครับ ใครที่ใจบุญมีเมตตาก็ย่อมทำให้เคหาสถ์นั้นเป็นที่ร่มเย็นเสมอ

แมงมุมตีอก เรื่องนี้เชื่อว่าหลายท่านไม่เคยได้ยิน เรื่องแมงมุมตีอกบอกลางร้ายนี้ตำราท่านว่าถ้าได้ยินเสียงแมงมุมตีอก “ผึงๆ” ผิดสังเกต (ผมก็เพิ่งรู้ว่าแมงมุมตีอกเป็นเสียงอย่างนี้) ท่านว่าจะเป็นเสียงที่ฟังแล้วสะท้านเยือกเย็นครับ จะเป็นลางร้าย ถ้าใครกำลังจะเดินทางควรต้องละเว้นหรือยกเลิกเด็กขาดเพราะอันตรายหรือหายนะถึงชีวิตจะมาเยือน ฟังแล้วก็ขนลุกนิดๆจิตตกหน่อยๆ นะครับ โบราณท่านได้แยกแยะผลของแมงมุมตีอกตามที่ต่างๆในบ้านไว้ด้วย เช่น แมงมุมตีอกในเรือนจะเกิดวิวาทพลัดพรากกัน ถ้าตีอกใต้ที่นอนจะตายหรือบาดเจ็บสาหัส หากตีข้างฝารอบๆจะต้องระวังการเดินทางไกลอาจมีอุบัติเหตุ ส่วนถ้าตีอยู่ที่หัวนอนจะมีสิ่งชั่วร้ายมาทำให้โกรธเคือง สุดท้ายถ้าตีอกเบื้องทิศปัจฉิมซึ่งคือประจิมตะวันตกท่านว่าจะมีผู้ใส่ความ ข้าและเมียจะหนีหาย

งู คนไทยเราก็มีความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตอาถรรพณ์ของอสรพิษนี้อยู่พอสมควร ดังความเชื่อที่เป็นมงคล เช่น เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชสมภพนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์เป็นอัศจรรย์ คือมีอสุนีบาตฟาดลงตรงเสาดั้งของห้องเรือนที่ท่านประสูติ แต่หามีผู้ใดเป็นอันตรายไม่ ครั้นเมื่อประสูติได้ 3 วันขณะนอนอยู่ในกระด้ง (สมัยก่อนใส่เด็กอ่อนในกระด้ง) ก็มีงูเหลือมใหญ่เข้ามานอนขดเป็นวงล้อมรอบตัวทารกเป็นทักษิณาวัตร

ส่วนในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีบทกลอนพระราชนิพนธ์เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประพาสยุโรปที่พระราชทานแด่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ ซึ่งโคลงบทนี้เดิมบรรจุทำนองเป็นแขกมอญ 3 ชั้นแล้วต่อมาสุนทราภรณ์อัญเชิญแปลงเป็นเพลง “ทำนายฝัน” อันมีเนื้อเดิมว่า “คืนนั้นฉันฝันไปว่าชมสวน หอมลำดวนดอกแย้มแซมไสว เขาโน้มกิ่งชิงเก็บกำเริบใจ มีงูใหญ่เลื้อยกระหวัดรัดข้อมือ ฉันดิ้นร้องก้องหูจนรู้สึก วานช่วยนึกทำนายร้ายอยู่หรือ ไม่ร้ายลองต้องวุ่นดอกบุญลือ ฝันนี้ คือจะได้คู่สู่สมเอย” เป็นเรื่องงูแบบไทยๆที่ใช้เป็นนิมิตทำนายฝันถึงเนื้อคู่

ส่วนในข้างฝั่งตะวันตกนั้นอสรพิษถือเป็น “ผู้ร้าย” แต่ไหนแต่ไรมาด้วยถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่ซาตานส่งมาล่อลวงมนุษย์คู่แรกให้กระทำผิดบาปลักลอบกินผลไม้ต้องห้ามจนถูกลงโทษให้ตกสวรรค์ ส่วนอสรพิษร้ายผู้ก่อเรื่องถูก “สาป” ให้ต้องรับโทษอย่างที่สัตว์อื่นไม่เคยประสบนั่นคือ “ให้ต้องใช้ท้องเดินตลอดไปและให้ต้องอยู่กับพื้นกินฝุ่นคลีอยู่ตลอดชั่วกาลนาน 

(Genesis 3:14)” ส่วนข้างฝั่งชาติใกล้บ้านเราอย่างฟิลิปปินส์เชื่อว่าถ้าใครข้ามงูเข้าถือว่าเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งด้วยถือว่างูนั้นเป็น “ปีศาจจำแลง” ซึ่งผมว่าการข้ามงูก็เสี่ยงต่ออันตรายอยู่ไม่น้อยแล้วนะครับ สำหรับงูผู้ตกเป็นจำเลยที่น่าสงสารนี้ยังมีข่าวดีให้ได้สบายใจอีกอย่างหนึ่งคือถ้าใครเจอมันในช่วงที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ชาวตากาล็อก เขาเชื่อว่ามันเป็นนิมิตดีว่าคนคนนั้นจะฟื้นคืนมาดีดังเดิมครับ

ผึ้งทำรัง เป็นหนึ่งในความเชื่อเรื่อง “สัตว์มาสู่” คือมีสัตว์เข้ามาหาที่บ้านนั้นว่าจะเป็นผลอย่างไร โดยเรื่องผึ้งนั้นตำราท่านว่าให้ดู “ทิศ” เป็นหลักจึงจะบอกคุณหรือโทษได้ครับ โดยท่านว่าถ้าผึ้งนั้นมาจับทางทิศบูรพา (ตะวันออก) จักเสียทรัพย์ อาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ให้ระวังเพลิงไหม้ ทิศ ทักษิณ (ใต้) ตัวจะตาย หากเป็นทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ให้ระวังโจรภัย ส่วนถ้าทำรังในทิศปัจฉิม (ตะวันตก) จะได้ลาภ 2 เท้าเป็นนารี ถ้าพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) จะสุขสบาย หากอุดร (เหนือ) จะมีลาภ สุดท้ายคือทิศอีสานจะมีคนยกย่องนับถือมาก 

ทั้งหมดนี้ท่านว่าใช้กับสัตว์อื่นๆที่เข้าบ้านเราก็ได้ ไม่ว่าจะนกแสก, นกยางขาว หรือแม้แต่ปลวกก็ตาม
(ถ้าปลวกขึ้นทิศไหนก็ไม่ค่อยดีมังครับ)

ซึ่งเรื่องสัตว์มาสู่บ้านนี้ผมว่าคนสมัยก่อนท่านคิดดีนะครับ ด้วยท่านมักว่าบ้านไหนที่มีต่อ, แตน หรือผึ้งเข้ามาทำรังนั้นเป็นเรื่องดีไม่ควรตีหรือไล่เสมอไป เพราะแท้จริงการไปรบกวนรังควานเขามากบ่อยๆก็อาจทำให้เขารู้สึกไม่สงบและออกมาทำร้ายคนได้ ดังนั้นท่านจึงแนะให้บ้านที่มีสัตว์ประเภทที่ว่ามาทำรังอยู่นั้นให้เสริมมงคลด้วยการทำบุญและนั่งปฏิบัติภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับผู้กระทำอยู่แล้ว

สิทธิการิยะท่านว่านานาเรื่องแห่งลางจากสัตว์นี้ถ้าใช้เหตุผลเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะดี ไม่มีเหตุใดที่จะต้องเชื่อไปทั้งหมด และไม่มีเรื่องใดที่ยืนยันได้ว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นทั้งร้อย ดังนั้นจึงขอให้ท่านที่รักใช้ “กาลามสูตร” อันเป็นหลักการแห่งเหตุผลก่อนเชื่อไว้ให้จงหนัก หลายอย่างถ้าเชื่อแล้วลำบากตัวเรานักหรือเดือดร้อนแก่สัตว์ผู้ยากก็ละไว้เพราะไม่มีสิ่งใดจะแก้อาถรรพณ์ได้ดีกว่าการทำดีกับชีวิตอื่นๆครับ.

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

Rongorongo อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา?


Rongorongo : อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา?

รองโกรองโก้ หรือ โรโงโรโง คือจารึกอักษรภาพบนแผ่นไม้ที่ปักบนหลุมศพ รวมกว่า 20 แผ่น ถูกพบที่เกาะอีสเตอร์ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในศตวรรษที่ 19

ลักษณะของอักษรมีรูปร่างแปลกๆ บางตัวเหมือนรูปคน บางตัวเหมือนรูปสัตว์ในท่าทางต่างๆ กัน ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีใครแปลความหมายของมันได้ 

ต่อมาในปี 2010 Robert M. Schoch นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่ง College of General Studies at Boston University ได้เดินทางไปทำงานวิจัยบนเกาะอีสเตอร์ และศึกษารูปแบบของจารึก Rongorongo ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ มันทำให้เขานึกถึงงานวิจัยของ Anthony L. Peratt นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่ศึกษาเรื่องรูปแบบของพลาสมาในชั้นบรรยากาศโลก... เพราะมันคล้ายคลึงกันมาก!

นอกจากนี้แล้ว Schoch ยังพบว่าอักขระ Rongorongo มันมีความคล้ายกับภาพสลักดึกดำบรรพ์บนผนังถ้ำทั่วโลก หรือแม้แต่ภาพสลักขนาดยักษณ์บนที่ราบสูงนาซคาด้วย ซึ่งมันน่าจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งข้อมูลในงานวิจัยของ Peratt ก็บอกว่าในช่วง 8,000 – 10,000 ปีที่ผ่านมา 

ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานจากพลาสม่าจำนวนมหาศาลด้วย

เมื่อศึกษาข้อมูลจากหลายๆ งานวิจัยมากๆ เข้า Schoch จึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า Rongorongo น่าจะเป็นอัขระที่บันทึกเรื่องภัยพิบัติที่เกิดจากพายุพลาสม่า ซึ่งดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก ซึ่งทำให้มนุษย์โฮโมซาเปียนในยุคนั้นต้องหลบเข้าไปอาศัยในถ้ำ หรือนำหินมาซ้อนทับกันใต้หน้าผา ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคมืดมนนานนับพันปี จนอารยธรรมเหล่านี้ต่างสาบสูญไปหมด

นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่จะไขปริศนาได้อย่างแน่นอว่า แท้จริงแล้วจารึก Rongorongo คืออะไรกันแน่?

รายการบล็อกของฉัน