Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

ดึกดำบรรพ์ มาชมสิ่งมีชีวิต 10 สปีชีส์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก

ดึกดำบรรพ์!! มาชมสิ่งมีชีวิต 10 สปีชีส์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก
สิ่งมีชีวิตหลายๆชนิดมีอายุมานานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ พวกมันใช้วิธีการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายต่างๆและสามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้มาจนถึงปัจจุบัน วันนี้เราลองมาดูกันครับว่าเข้าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ไปชมกันครับ
10. Martialis Huereka (120 ล้านปี)
Martialis Huereka เป็นสปีชีส์ของมดที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ซึ่งค้นพบในเขตป่าฝนอเมซอน ชื่อของมันหมายถึง “มดจากดาวอังคาร” ลำตัวของมันมีความยาว 3 มิลลิเมตร มันไม่มีดวงตา และอาศัยอยู่ใต้ดิน การค้นพบมดสปีชีส์นี้ช่วยเพิ่มความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมดในสปีชีส์ต่างๆ
7
9. ฉลามฟริลด์
(Frilled Shark – 150 ล้านปี)
ฉลามฟริลด์ถูกค้นพบในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 2007 และได้ชื่อว่า “ฟอสซิลที่มีชีวิต”  มันมีลำตัวขนาด 5 ฟุต และมีฟัน 300 ซี่ ซึ่งเรียงเป็น  25 แถวในปากของมัน ไขมันที่สะสมในลำตัวและ hydrocarbon ปริมาณมากในตับช่วยให้มันอยู่รอดได้ในท้องทะเลลึก มลภาวะทางทะเลและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในท้องทะเลส่งผลต่อการอยู่รอดของฉลามพันธุ์นี้มาก
8. กุ้ง Horseshoe (200 ล้านปี)
กุ้ง Horseshoe ปรากฏตัวบนโลกครั้งแรกพร้อมๆกับการกำเนิดไดโนเสาร์ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาช่วยให้มันอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ไข่ของมันมีชีวิตอยู่รอดได้เป็นเวลาหลายปีในพื้นดินที่แห้งผาก และสามารถฟักออกมาเป็นตัวเมื่อได้รับน้ำอีกครั้ง
7. Sturgeon (200 ล้านปี)
Sturgeon เป็นปลาที่มีกระดูกซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก พวกมันอาศัยอยู่ในแถบยูเรเชียและอเมริกาเหนือ ปลาชนิดนี้มีลำตัวขนาด 5.5 ฟุต และมีน้ำหนักตั้งแต่ 200 ถึง 600 กิโลกรัม ปลา Sturgeon เป็นปลาหายากและใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากการล่าไข่ปลาคาร์เวียร์ซึ่งได้จากปลาพันธุ์นี้ของมนุษย์
6. Coelacanath (360 ล้านปี)
Coelacanaths เป็นหนึ่งในปลาที่ใกล้สูญพันธุ์ในปัจจุบัน พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์ และอาศัยอยู่ 2,300 ฟุตใต้ท้องทะเลบริเวณชายฝั่งแอฟริกาและอินโดนีเซีย
ปลาพันธุ์นี้มีขนาดลำตัว 6.5 ฟุต มีน้ำหนักสูงสุดที่ 90 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ย 60 ปี พวกมันใช้เซ็นเซอร์ในการหาเหยื่อ และสามารถขยายกรามให้กว้างขึ้นเพื่องับเหยื่อขนาดใหญ่
5. แมงดาทะเล (445 ล้านปี)
แมงดาทะเลอาศัยอยู่ในเขตทะเลน้ำตื้นทั่วโลก มันมีเปลือกแข็ง ตลอดจนมีกระดูกสันหลังและหางที่ยาว นอกจากนี้ มันยังมีดวงตาด้วยกันทั้งสิ้น 9 ดวง โดยมีดวงตาหลักสองดวงทำหน้าที่ในการมองเห็น ส่วนดวงที่เหลือทำหน้าที่รับแสงเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่
4. Nautilus (500 ล้านปี)
Nautilus อาศัยอยู่บนโลกใบนี้มานานก่อนที่ไดโนเสาร์จะถือกำเนิดเสียอีก พวกมันใช้ชีวิตในทะเลอันดามันแถบประเทศฟิจิ และบริเวณ Great Barrier Reef ร่างกายของมันปกคลุมด้วยเปลือกหลายชั้น และมีหนวดยาวเกือบ 100 หนวดใกล้ๆกับปาก พวกมันใช้หนวดในการต่อสู้ป้องกันตนจากพวกนักล่า
3. แมงกะพรุน (550 ล้านปี)
แมงกะพรุนเป็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่ไม่มีทั้งสมองและระบบประสาท โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายของมันประกอบด้วยน้ำ พวกมันมีต่อมพิษกว่า 5,000 ต่อมอยู่บนหนวด
2. ฟองน้ำ (580ล้านปี)
ฟองน้ำเป็นสัตว์ทะเลที่หลายๆคนเข้าใจผิดคิดว่า มันเป็นพืชชนิดหนึ่ง ทั้งนี้ ฟองน้ำเป็นสัตว์ที่ไม่มีอวัยวะภายใน ไม่มีแขน และไม่มีหัว พวกมันยังมีความสามารถในการสร้างอวัยวะใหม่ขึ้นทดแทนส่วนที่ถูกตัดหรือหายไป
1. Cyanobacteria (2.8 พันล้านปี) 
Cyanobacterias เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดบนโลกใบนี้ และทำหน้าที่ผลิตออกซิเจนให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวกมันสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศผ่านการแบ่งเซลล์
แหล่งที่มา : themys

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

เฮลิแคริเออร์เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า

เปิดไอเดีย! ‘เฮลิแคริเออร์’ เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า ที่กองทัพสหรัฐคิดสร้างตามหนังดัง ‘ดิ เอเวนเจอร์ส’ มาดูกันว่าเป็นไปได้หรือไม่?
สำหรับแฟนภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ เรื่อง ‘ดิ เอเวนเจอร์ส’ (The Avengers) ที่สร้างโดยค่ายหนังยักษ์ใหญ่จากฝั่งฮอลลีวูดอย่างมาร์เวล (Marvel) ก็คงจะพอคุ้นหูคุ้นตากับภาพ ‘เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า’ หรือที่เรียกว่า ‘เฮลิแคริเออร์’ (Helicarrier)  ฐานทัพบินของหน่วย S.H.I.E.L.D ที่อวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์กันมาบ้างแล้ว 

ซึ่งเจ้าเฮลิแคริเออร์นั้น ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมล้ำอนาคตที่ในโลกแห่งความเป็นจริงยังไม่มีประเทศไหนสามารถสร้างได้ ทว่า เมื่อไม่นานมานี้กองทัพเรือสหรัฐอเมริกามีแนวคิดที่จะพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินที่สามารถบินได้เหมือนกับเจ้า ‘เฮลิแคริเออร์’ ที่อยู่ในหนัง จะเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน เลื่อนลงไปชมด้านล่างได้เลย

เจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการระบบอากาศนาวี (Naval Air Systems Command) ของสหรัฐ กล่าวว่า ‘กองทัพสมัยใหม่มีงบประมาณมากมาย ดังนั้นการที่จะพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีน้ำหนักกว่า 100,000 ตัน และมีขนาดใหญ่มหึมาเท่าสนามฟุตบอล 3 สนามรวมกันให้ลอยอยู่บนฟ้าได้ ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่ายุ่งยากอะไร เราต้องการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายในการขึ้นบินแต่ละครั้ง หากว่าสามารถสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้าได้ ก็จะประหยัดต้นทุนในเรื่องดังกล่าวได้มากเลยทีเดียว’
ทว่า เจ้าหน้าที่จากกองทัพเรือสหรัฐที่เห็นต่าง กล่าวว่า ‘การที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้าขนาดใหญ่มหึมาแบบนี้ได้ จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากกว่าที่เรามีอยู่ตอนนี้ อีกอย่างจะเป็นการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ เพราะยิ่งอากาศยานมีขนาดใหญ่มากเท่าใด ก็จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมหาศาลในการขับเคลื่อนมากเท่านั้น และการที่จะทำให้มันลอยได้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพราะไหนจะต้องมาคอยรองรับน้ำหนักของลูกเรือหลายพันชีวิตและเครื่องบินอีกหลายร้อยลำที่ลงจอดอีก ยังมีเรื่องของแรงดันอากาศและความสามารถในการต้านแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคในการบิน ที่สำคัญมันได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน!’

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้าง ‘เฮลิแคริเออร์’ ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่สิบปีหรืออีกร้อยปีข้างหน้าเทคโนโลยีในโลกอนาคตอาจดีพอที่จะสามารถสร้าง ‘เรือบรรทุกเครื่องบินลอยฟ้า’ อากาศยานทรงประสิทธิภาพออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกแห่งความจริงสู่สายตาอนุชนรุ่นหลังเหมือนอย่างในภาพยนตร์ก็เป็นได้!

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

พบซากดึกดำบรรพ์ ทรงกรวยอายุ 450 ล้านปี

พบซากดึกดำบรรพ์ ทรงกรวยอายุ 450 ล้านปี  หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์
หรือฟอสซิล(fossil)
    
หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) ที่หายาก คือซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต
ที่มีรูปทรงกรวย (cone–shape) ขนาดเล็กจิ๋ว แต่เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ในประเทศอังกฤษซึ่งร่วมงานกับทีมนักธรณีวิทยานานาชาติ เผยว่าค้นพบซากดึกดำบรรพ์ลักษณะดังกล่าวในเทือกเขาแอปพาเลเชียนใกล้เมืองฮัมเมิลส์ทาวน์
รัฐเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกา

นักวิจัยระบุว่าซากรูปกรวยนี้มีอายุ 450 ล้านปี มีรูปทรงคล้ายไอศกรีมโคน 
เคยอาศัยอยู่ในยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician) ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงที่มีการขยายตัวของสิ่งมีชีวิตในทะเลบนโลกของเรา

นักวิจัยเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่ซากดึกดำบรรพ์สิ่งมีชีวิตทรงกรวยนี้ 
จะมีลักษณะอ่อนนุ่ม อีกทั้งยังเป็นชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบ โดยเชื่อว่ามันอาศัยอยู่ในหมู่แพลงก์ตอนก่อนที่จะถูกพัดพาลงสู่ท้องทะเล และถูกฝังไว้ในโคลนเปียก

ทั้งนี้ ในยุคออร์โดวิเชียนมีซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในชั้นออร์โดวิเชียนมากมาย แต่เกือบทั้งหมดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเปลือกแข็ง การพบซากสัตว์ที่เชื่อว่ามีความอ่อนนุ่มครั้งนี้ 
นักวิจัยมองว่าจะช่วยทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงสิ่งมีชีวิตในสมัยนั้นได้มากยิ่งขึ้น.

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

Raëlism ลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

☼ลัทธิราแอลิซึ่ม (Raëlism)
ราแอลิซึม หรือราแอเลียน เป็นลัทธิที่ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว
โดยผู้นำลัทธินี้มีชื่อว่านายคล้อด (Claude Vorihon) หรือภายหลังชื่อ ราแอล เป็นชาวฝรั่งเศสที่ก่อตั้งลัทธิขึ้นในปี 1974 ภายหลังจากการพบเจอกับมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนึ่งที่มาส่งสาส์นเล่าเรื่องของต้นกำเนิดมนุษย์และศาสนาทั้งหมดแก่เขา และทุกอย่างบนโลกนี้ถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งที่ชื่อว่า "เอโลฮิม" เป้าหมายหลักๆ ของการส่งสาส์นจากต่างดาวนี้ก็เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ สันติภาพของโลกและวันพิพากษาโลกที่เอโลฮิมจะกลับมาสู่โลกอีกครั้ง 

ดังนั้นราแอลจึงจำเป็นต้องรวบรวมคนให้มากที่สุดและให้ความรู้ความเข้าใจแก่พวกเขาเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันที่เอโลฮิมจะกลับมา
ตั้งแต่ก่อตั้งลัทธิราแอเลียนขึ้นนั้น ช่วงเวลาที่ลัทธิมีความนิยมมากที่สุดคือช่วงปี 1980-1992 โดยมีคนนับถือจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ราแอลเขียนหนังสือส่งสาส์นออกมาในภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น รวมไปถึงภาษาญี่ปุ่นและแอฟริกาที่เป็นเป้าหมายใหม่ในตอนนั้น แต่ถึงแม้ว่าลัทธินี้จะฟังดูโลกสวยและมีจุดประสงค์ที่ดี การเคลื่อนไหวและกิจกรรมบางอย่างของลัทธิก็มักตกเป็นข่าวที่ผู้คนไม่ค่อยชอบนัก 
ทั้งเรื่องเกี่ยวกับเซ็กส์, การช่วยตัวเอง, การโคลนนิ่ง เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรราแอลเชื่อว่าโลกนี้จำเป็นต้องมีผู้ส่งสาส์นอย่างน้อยหนึ่งคนในวัฒนธรรมต่างๆ ดังที่ในทุกๆ ศาสนามีศาสดาที่คอยสอนและนำทางให้ผู้คน ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะรู้ว่าไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกเชื่อในสิ่งที่เขาบอก แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำสิ่งสำคัญเพื่อมวลมนุษย์เพื่อที่จะต้อนรับวันกลับมาของเอโลฮิมในอนาคต

ความจริงมีลัทธิอีกมากมายที่นับถือและเชื่อในมนุษย์ต่างดาว แต่ส่วนมากมักจะมีความเชื่อใกล้เคียงกัน จะแตกต่างก็ที่การเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน..../*
(สัญลักษณ์ของลัทธิราแอลิซ่ม รูปซ้ายคือแบบแรก ที่เหมือนกับสวัสติกะ จึงต้องเปลี่ยนเป็นแบบที่ 2 ด้านขวา)

Heaven's Gateลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

☼ กลุ่มลัทธิเฮเว่นส์เกต (Heaven's Gate)
อีกหนึ่งลัทธิที่มีแนวคิดแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นลัทธิสหัสวรรษ (Millenarism) และเป็นลัทธิยูเอฟโอที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1974 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 
โดยผู้นำหรือศาสดาของลัทธินี้คือนายมาร์แชลล์ แอปเปิ้ลไวท์ (Marshall Applewhite) ภายใต้ความเชื่อว่ามนุษย์เราจะไม่สามารถมีชีวิตรอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ และการจะรอดชีวิตได้นั้นมีแค่ทางเดียวคือต้องขึ้นยานอวกาศเพื่อหนีไปยังดาวดวงใหม่ และหลักฐานที่บอกชัดเจนว่ายานอวกาศลำนั้นกำลังมารับมนุษย์โลกก็คือดาวหางเฮล-บอพพ์ (Hale-Bopp) ที่โคจรมาใกล้โลกในช่วงปี 1977 

แต่การจะขึ้นไปยังยานอวกาศนั้นได้จะต้องใช้วิธีเดียวคือการ "ตาย" โดยการฆ่าตัวตายหมู่ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ที่เรียกว่า 'Heaven's Gate Away Team' เหตุการณ์นั้นมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั้งหมด 39 คนและถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงน่ากลัวที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
    
ก่อนมาร์แชลล์จะตาย เขาได้อัดคลิปวีดิโอทิ้งท้ายไว้ที่ดูแล้วก็ขนลุกเหมือนกัน เพราะคำพูดแปลก ๆ และท่าทางของเขาว่า "ผมสามารถพาพวกคุณไปสู่อาณาจักรที่สูงกว่ามนุษยชาติได้ แต่การจะไปกับผมนั้นคุณจะต้องตัดสินใจละทิ้งโลกนี้อย่างจริงจัง แค่ตามผมมาเท่านั้น เวลาเรามีไม่มากนัก นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว"

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มาร์แชลล์มีแนวคิดประหลาด ๆ แบบนี้อาจเป็นเพราะว่าเขามีสภาวะจิตที่ไม่ปกติเพราะมีประวัติการเข้าพบจิตแพทย์มาหลายครั้ง ปัจจุบันเว็บไซต์ของลัทธิยังคงเปิดอยู่ไว้เป็นอนุสรณ์และสำหรับผู้ที่สนใจอยากลองเข้าไปหาอ่านข้อมูล แต่หวังว่าคงไม่มีใครหวังจะไปโลกหน้ากับมาร์แชลล์นะ

Aetherius Societyลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก มนุษย์ต่างดาว

Aetherius Societyลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อมาจาก "มนุษย์ต่างดาว" (UFO religions) ◕‿
มนุษย์ต่างดาว.. สิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด! "มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?" หรือ "นอกจากโลกแล้ว ดาวอื่นมีสิ่งมีชีวิตมั้ย?" บางทฤษฎีก็บอกว่ามีสิ ต้องมีแน่ๆ จักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วทำไมดาวอื่นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตแบบเราอยู่ล่ะ? แต่บางทฤษฎีหรือคนบางกลุ่มก็ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่

ส่วนมากกลุ่มศาสนาและลัทธิเหล่านี้จะรวมตัวกันภายใต้ความคิดว่ามนุษย์ต่างดาวมีความรู้และความฉลาดกว่ามนุษย์มาก และพวกมนุษย์ต่างดาวก็เชื่อมั่นในความฉลาดและประสิทธิภาพของมนุษย์โลกเองว่าพวกเราสามารถจะทำให้โลก "ดีกว่านี้" ได้ และส่วนมากก็พยายามจะช่วยเหลือมนุษย์ การรวมตัวของกลุ่มคนในลัทธิเหล่านี้ก็มีขึ้นเพื่อจะเผยแพร่ความเชื่อเหล่านี้และพยายามช่วยโลกให้ดีขึ้นนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน

☼ เอเธอเรียส โซไซตี้ (Aetherius Society)
เป็นกลุ่มลัทธิที่รวมความเชื่อจากแนวคิดลัทธิสหัสวรรษ (Millenatism), กลุ่มจิตวิญญาณทางเลือก (New Age), ลัทธิยูเอฟหรือศาสนาจานบิน (UFO religion) ก่อตั้งโดยนายจอร์จ คิง (George King) ในช่วงปี 1950 กว่า ๆ ที่เคยประกาศว่าตัวเองสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ "Cosmic Masters" ได้ โดยลัทธินี้จะรวมความเชื่อหลาย ๆ อย่างจากศาสนาต่าง ๆ เช่น ฮินดู พุทธ คริสเตียน และยังมีเรื่องโยคะและจานบินเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วย

เป้าหมายหลักของ Aetherius Society นี้คือการป้องกันการทำลายล้างโลกโดยการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวต่างๆ ที่เขาเชื่อ ลัทธินี้ถือว่าเป็นลัทธิแรกๆ ที่ก่อตั้งขึ้นที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและอยู่มายาวนานกว่าลัทธิอื่น ๆ และถือว่าประสบความสำเร็จพอตัว เนื่องจากสามารถขยายและเพิ่มจำนวนผู้นับถือได้เป็นจำนวนมากทั้งในประเทศอังกฤษเองและสหรัฐอเมริกา
    
การเคลื่อนไหวของลัทธินี้เริ่มมาจากตอนที่นายจอร์จ คิง มีมนุษย์ต่างดาวมาติดต่อและบอกว่าเขาจะต้องเป็นผู้ส่งสาส์นให้คนบนโลกรู้ จากนั้นนายจอร์จ คิงจึงก่อตั้งลัทธิขึ้นโดยการรวบรวมผู้คนที่มีแนวคิดคล้ายกัน เมื่อมีกลุ่มลัทธิขึ้น จึงมีการจัดประชุม การส่งสาส์นต่าง ๆ ที่มนุษย์ต่างดาวฝากเขามาบอก บอกต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ จนลัทธิขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นผู้คนในลัทธินี้จะเชื่อในพลังทางจิตวิญญาณ 

โดยจะมีการอธิษฐาน สวดมนต์ เพื่อเก็บรวบรวมพลังงานเหล่านี้ไว้ใช้ในอนาคต เช่น ช่วงสงครามหรือวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถนำมาใช้ช่วยเหลือคนได้ อีกหนึ่งความประสบคามสำเร็จของลัทธินี้คือในช่วงเวลาที่นายจอร์จ คิง ยังอยู่ เขาสามารถรวบรวมผู้คนที่มีความรู้ความสามารถต่างๆ ให้มาอยู่ในลัทธิของตัวเองได้ ทั้งนักบวช อัศวิน นักวิชาการต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือเขาเคยถวายตนเป็นบาทหลวงในโบสถ์คริสต์แบบเสรีนิยมภายใต้ลัทธิเอเธอเรียส โซไซตี้ และหลังจากเสียชีวิตในปี 1997 ก็มีการสืบทอดและดูแลลัทธิโดยคณะกรรมการบริหารต่าง ๆ ที่มีทั้งในประเทศอังกฤษและอเมริกา

รายการบล็อกของฉัน