Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

นักวิจัยค้นพบแร่ทองคำและโลหะมีค่าหลายชนิดในอุจจาระหรือขี้มนุษย์

นักวิจัยค้นพบ แร่ทองคำและโลหะมีค่าหลายชนิดใน “อุจจาระ”มนุษย์ หากรู้วิธีสกัดหละก็นะ!

นักวิจัยจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดซึ่งชี้ว่า ภายในอุจจาระของมนุษย์นั้นมีแร่ทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ปะปนอยู่หลายชนิด อาทิ แพลทินัม และเงิน ซึ่งหากทราบวิธีสกัดนำแร่เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ก็จะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง โดยทองคำที่ทีมงานของเธอค้นพบจากกากของเสียนั้น จัดอยู่ในระดับแหล่งแร่ขั้นต่ำที่สุด

ขณะที่นักวิจัยอีกกลุ่มก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการวิจัยสิ่งปฏิกูลของมนุษย์เช่นกันว่า หากนำอุจจาระของชาวอเมริกัน 1 ล้านคนมารวมกัน จะประกอบไปด้วยแร่โลหะที่มีมูลค่าถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราว 420 ล้านบาท 

ซึ่งหากหาวิธีสกัดนำแร่เหล่านี้ออกมาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการทำเหมือง และลดปริมาณการปล่อยโลหะที่ไม่พึงประสงค์ออกสู่ธรรมชาติ อันเป็นหนทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก

แคธลีน สมิธ นักวิจัยจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ กล่าวว่า หากเราสามารถแยกโลหะรบกวนที่ทำให้กากชีวภาพถูกนำไปใช้ในไร่หรือป่าได้อย่างจำกัด และสามารถสกัดเอาโลหะมีค่าออกมาใช้ประโยชน์ ก็จะมีแต่ได้กับได้ เราพบว่ามีโลหะอยู่ทุกที นับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผงซักฟอก ตลอดจนอนุภาคนาโนที่ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในถุงเท้า

ขณะที่แคธลีนได้เผยแนวทางการวิจัยของเธอและลูกทีมส่วนหนึ่งจะมุ่งศึกษาวิธีคัดแยกโลหะไม่พึงประสงค์ที่ทำให้กากชีวภาพไม่สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยได้อย่างเต็มที่ และอีกส่วนหนึ่งจะให้ความสนใจในการเก็บรวบรวมโลหะมีค่าที่สามารถนำมาขายได้
ค้นหา
Custom Search

ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้หลุมฝังศพกษัตริย์ชาวมายัน

ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้หลุมฝังศพกษัตริย์ชาวมายัน เชื่อว่าใช้ส่งวิญญาณสู่ยมโลก
ค้นหา
Custom Search
นักโบราณคดีชาวเม็กซิกันประกาศในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า พวกเขาได้ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้ดินขนาดกว้างและสูง 60 ซม. ถูกสร้างอยู่ใต้วิหารแห่งศิลาจารึกอายุ 1,300 ปีในเมือง Palenque ของชาวมายันโบราณ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาหลุมฝังศพของกษัตริย์ของชาวมายันที่ชื่อ Pakal

นักโบราณคดี Arnoldo Gonzalez กล่าวว่านักวิจัยเชื่อว่าหลุมฝังศพและพีระมิดถูกสร้างคร่อมเหนือน้ำพุอย่างจงใจ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 683 ถึง ค.ศ. 702  อุโมงค์ส่งน้ำจากใต้ห้องเก็บศพออกไปยังลานกว้างด้านหน้าของวิหารเพื่อเป็นเส้นทางให้วิญญาณของกษัตริย์ Pakal ไปสู่ชีวิตหลังความตาย

ความสนใจได้มุ่งเน้นไปที่โลงศพหินแกะสลักที่ใช้ฝังกษัตริย์ Pakal ซึ่งมีบางคนเชื่อแบบผิดๆว่าผู้ปกครองเมืองมายานั่งอยู่ที่แผงควบคุมของยานอวกาศแต่ Gonzalez กล่าวว่ารูปแกะสลักบนหินอุดหูคู่หนึ่งที่พบในหลุมฝังศพบอกว่า “พระเจ้าจะนำทางไปสู่​​ยมโลกโดยการจุ่มพวกเขาลงไปในน้ำ แล้วพวกเขาจะได้รับการต้อนรับที่นั่น”
วิหารแห่งศิลาจารึกเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ชาวมายันเคยทำมา และเป็นเวลาหลายร้อยปีที่พีระมิดหินได้ตั้งตระหง่านเหนือเมืองโบราณและเก็บซ่อนความลับลึกอยู่ภายใน

จนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1952 นักโบราณคดีชาวเม็กซิกัน Alberto Ruz Lhuillier ค้นพบบันไดที่ซ่อนอยู่ภายในวิหาร ซึ่งได้นำไปสู่​​หลุมฝังศพที่มีโครงกระดูกที่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณี สวมหน้ากากหยกโมเสค โครงกระดูกเป็นของกษัตริย์ Pakal ผู้ปกครองอาณาจักรมายันในช่วงศตวรรษที่ 7 และเป็นผู้สร้างพีระมิดในช่วงปลายของการครองบัลลังก์เกือบ 70 ปีของเขา

ภายในหลุมฝังศพมีรูปแกะสลัก 640 รูป เขียนโดยอาลักษณ์หลวงบอกเล่าเรื่องราวของการครองราชย์ของกษัตริย์ Pakal จนกระทั่งตายในปี ค.ศ. 683  รูปแกะสลักบนฝาโลงศพหินปูนบรรยายการฟื้นคืนชีพของกษัตริย์และการเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตาย
ในปี 2012 นักวิจัยได้พบความผิดปกติของสภาพใต้พื้นดินที่ด้านหน้าของพีระมิดจากการสำรวจโดยเรดาร์ พวกเขากลัวว่าอาจจะเป็นหลุมหรือรอยเลื่อนที่อาจทำให้พีระมิดทรุดตัวหรือพังทลายลงมาได้ พวกเขาจึงขุดที่บริเวณนั้น แล้วก็พบก้อนหินที่วางเรียงอย่างดี 3 ชั้นปิดทับอยู่เหนืออุโมงค์

Gonzalez กล่าวว่าหินที่ใช้ปิดทับอุโมงค์เป็นชนิดเดียวกับหินที่พื้นของหลุมฝังศพกษัตริย์ Pakal ภายในพีระมิด

เขากล่าวว่าดูเหมือนจะไม่มีช่องที่เชื่อมต่อระหว่างหลุมฝังศพกับอุโมงค์ แต่อุโมงค์ยังไม่ได้ถูกสำรวจทั้งหมดเพราะมันมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะคลานผ่านไปได้ ซึ่งนักวิจัยได้มีการส่งหุ่นยนต์พร้อมกล้องลงไปสำรวจดูเพิ่มเติมแล้ว
Francisco Estrada-Belli ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยบอสตันที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการค้นพบครั้งนี้กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าการสร้างหลุมฝังศพเหนือลำธารสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าลำธารเป็นประตูสู่ยมโลก”

นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่า ชาวจีนหมักเบียร์ได้ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน


นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่า ชาวจีนหมักเบียร์ได้ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน

นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานมาเป็นเวลาหลายปีแล้วว่า บรรพบุรุษของพวกเขาในสมัยก่อนเคยประสบความสำเร็จในการหมักเบียร์ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน

จนเมื่อไม่นานมานี้ เหล่านักโบราณคดีได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงสูตรการหมักเบียร์ของจีนที่มีมายาวนานกว่า 5,000 ปี

การค้นพบครั้งนี้เปลี่ยนความเชื่อ
ในหลายๆ ด้านจริงๆ เนื่องจากเบียร์ในสมัยก่อนต้องใช้ข้าวบาร์เลย์ในการหมัก แต่จากสูตรที่ค้นพบซึ่งย้อนไปเมื่อ 5,000 ปี แสดงให้เห็นว่าพืชชนิดนี้ได้มีในประเทศจีนในระยะเวลาพอๆ กัน 

ซึ่งหลักฐานของสูตรหมักเบียร์นี้ยังมีความสมเหตุสมผลมากๆ กับตัวหลักฐานที่ค้นพบ ที่เหล่านักโบราณคดีคาดว่าเป็นสิ่งที่ชาวจีนสร้างขึ้นเพื่อใช้ผลิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และนี่คือภาพของหลักฐานที่ค้นพบ มีรูปร่างเหมือนกรวยหินโบราณ

เมื่อนำอุปกรณ์เหล่านี้มาสกัดจะพบสารสีเหลืองที่อยู่ภายใน ที่มีสาร Oxalate เป็นสารที่ได้จากการผลิตเบียร์ จึงทำให้หลักฐานนั้นชัดเจนมากขึ้นไปอีก ซึ่งขัดกับความเชื่อเดิมที่คิดว่าการปลูกข้าวบาร์เลย์เกิดขึ้นเมื่อ 4,000 ปีก่อน
ค้นหา
Custom Search
นอกจากนี้การค้นพบในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสื่อสารของชาวจีนกับชาวตะวันตกในยุดสมัยโบราณอีกด้วย เนื่องจากเบียร์เป็นตัวชี้วัดการผสมผสานทางวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกนั่นเอง

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

เปิดสุสาน 4300 ปี แห่งซัคคารา


สุสานที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยในครั้งนี้ เป็นสุสานหินตัดที่มีอายุยาวนานถึง 4,300 ปี และถูกกลบ ลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วยผงทรายสุด ลูกหูลูกตาในซัคคารา แม้ว่าจะมีการขุดค้นพีระมิด และบริเวณใกล้เคียงกันนั้นมานานตั้ง 150 ปีแล้ว
Custom Search
ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ เลขาธิการ SCA เป็นผู้นำคณะสื่อมวลชนเข้าชมสุสานทั้ง 2 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากพีระมิดขั้นบันไดอันมีชื่อเสียงของแห่งซัคคารา ไปทางใต้เพียง 400 เมตร และห่างจากกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ไปประมาณ 35 กิโลเมตรเท่านั้น

ตัวสุสานทั้งสองสร้างด้วยหินตัด บริเวณทับหลังเหนือทางเข้ามีตัวอักษรเฮียโรกราฟฟิกสลักอยู่ ทำให้รู้ว่าสุสานหนึ่งเป็นของบุรุษ นาม อิยา-มาอัท ซึ่งเป็นข้าราชบริพารในองค์ ฟาโรห์อูนาส กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 5 ผู้ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับเหมืองหินที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างพีระมิด แถมยังได้ดูแลพระคลังของฟาโรห์อีกด้วย สุสานนี้มีขนาดกว้างประมาณ 1 หลา ยาว 2.75 หลา

ส่วนอีกสุสานหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว มีภาพสลักเป็นรูปสตรีในท่านั่ง ทำให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ทอดร่างของสตรีนางหนึ่ง นาม ธินห์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการบันเทิง ซึ่งน่าจะเป็นนักร้องในยุคของฟาโรห์อูนาส และ ด้านหนึ่งของผนังก็มีภาพของสาวเจ้ากำลังขับขานบทเพลงอยู่ด้วย

การค้นพบนี้ ทำให้ ดร.ฮาวาสส์ ดีใจจนเนื้อเต้น เพราะเป็นการพิสูจน์ว่า ลึกลงไปใต้ดินของเมืองซัคคารานั้น ยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก และเครือข่ายของสุสานโบราณในบริเวณนี้ ก็อาจจะใหญ่กว่าที่เคยคาดคิดกัน

ดร.ฮาวาสส์บอกว่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว สุสานใหม่ (ที่เก่ากึ๊กส์) ทั้งสอง แห่งนี้ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขุดค้นบริเวณนี้ต่อไปอีกยกใหญ่ และน่าจะทำให้ได้คำตอบอีกมากเกี่ยวกับเรื่องราวของราชวงศ์ที่ 5-6 ของอาณาจักรเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า การสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์อูนาส ได้นำมาซึ่งจุดจบของราชวงศ์ที่ 5 เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระโอรส ในขณะที่ พระธิดาได้กลายเป็นราชินีคนแรกของราชวงศ์ที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอียิปต์โบราณเกิดความขัดแย้งภายในอย่างมาก

เช่นเดียวกับ ไอแดน ด๊อดสัน 
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสทอล อังกฤษ หนึ่งในคณะขุดค้นที่บอกว่า แม้สุสานทั้งสองแห่งนี้ จะยังไม่ได้บอกความสำคัญในตัวเองมากนัก แต่ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นว่า บริเวณสุสานกษัตริย์แห่งนี้ กินอาณาบริเวณที่ใหญ่มาก และ พอจะคาดเดาได้เลยว่า พื้นที่ว่างๆของซัคคาราที่เห็นๆกันอยู่ในแผนที่นั้น ไม่ได้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่นักโบราณคดียังไม่ได้ไปขุดของสำคัญ ในหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นมาจากผืนทรายต่างหาก

ที่ผ่านมา การขุดค้นที่เมืองซัคคารานาน กว่าร้อยปีได้มีการค้นพบพีระมิด สุสาน หลุม ศพ สถานที่ประกอบพิธีศพ ฯลฯ แล้วหลายแห่ง ย้อนหลังไปเมื่อเดือนปลายปีที่ผ่านมา ดร.ฮาวาสส์ ก็เพิ่งจะได้พาผู้สื่อข่าวไปซัคคารา เพื่อ เปิดเผยการค้นพบพีระมิดใหม่ ซึ่งเป็นพีระมิดลำดับที่ 118 ที่มีการค้นพบในอียิปต์ และเป็น ลำดับที่ 12 ที่พบในซัคคารา พีระมิดแห่งนี้อายุราวๆ 4,300 ปี เช่นเดียวกับสุสานที่พบใหม่ ดร.ฮาวาสส์คาดว่า น่าจะเป็นพีระมิดของ พระนางเซเชเชต พระมารดา ของ ฟาโรห์เตติ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 6

เรื่องราวของพระนาง เคยถูกกล่าวถึงมาก่อน ในตำราการแพทย์ ที่ถูกเขียนขึ้น ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ มันเป็นตำรายาที่ช่วยทำให้เส้นพระเกศาของพระนางแข็งแรง แสดงว่าพระราชินีก็คงจะรักสวยรักงามไม่ใช่เล่น

พีระมิดแห่งนี้ สูง 5 เมตร แต่คาดว่าก่อนหน้านี้ในอดีตเคยสูง 14 เมตร มีฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านยาว 22 เมตร แต่ละด้านเอียง 51 องศา ตัวพีระมิด ทั้งหมดน่าจะเคยปกคลุมผิวหน้าด้วยหินปูนสีขาวชั้นดีจากเมืองทูราบริเวณรอบๆพีระมิด มีการค้นพบรูปปั้นที่ใช้ในพิธีศพระหว่างปีที่ 818-712 ก่อนคริสตกาล และพบโบสถ์ขนาดเล็กของยุคอาณาจักรใหม่ ช่วง 1,550 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นวิหารที่ตกแต่งเหมือนกับการบูชาเทพโอซิริส และพบโลงศพของยุคหลังๆ ประมาณ 399-343 ปีก่อนคริสตกาล แถมด้วยรูปแกะสลักไม้ของเทพอนูบีสด้วย ซึ่งการค้นพบข้าวของจากหลายยุคมาอยู่รวมกันในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ แสดงให้เห็นว่า น่าจะมีการใช้พื้นที่ของสุสานเดียวกันนี้ซ้ำๆกันอีกหลายครั้งต่อมาในยุคหลังๆ

และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา นี้ ทางการอียิปต์ก็อัพเดท ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจพีระมิดของพระนางเซเชเชตว่า นักอียิปต์วิทยา ได้พบซากมัมมี่ ซึ่งคาดว่าเป็นมัมมี่ของพระนางแล้ว
พวกเขาใช้เวลาร่วม 5 ชั่วโมงในการเปิดฝาโลงศพหิน และก็พบกะโหลก ขา กระดูกเชิงกราน และชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆที่พันไว้ด้วยผ้าลินิน นอกจากนั้น ยังมีเครื่องปั้นดินเผาและทองคำซึ่งเอาไว้พันบริเวณนิ้วของมัมมี่ ส่วนสิ่งของอื่นๆเชื่อว่าอาจโดนหัวขโมยสมัยโบราณจัดการไปแล้ว

ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเราจะไม่พบพระนามของราชินีที่ถูกฝังไว้ในพีระมิดแห่งนี้ แต่ว่าร่องรอยทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่านางคือเซเชเชต มารดาของฟาโรห์เตติ ฟาโรห์องค์แรกของราชวงศ์ที่ 6
กล่าวถึงการค้นพบมาพอประมาณแล้ว คงต้องให้เครดิตคณะสำรวจ ซึ่งนำโดย ดร.ฮาวาสส์ ผู้ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ SCA ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ก่อนที่จะมาดังเป็นพลุแตก และเป็นความภูมิใจของวงการโบราณคดีในปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นปีที่เขาโด่งดังสุดๆ จากการที่นิตยสารไทม์ ได้ประกาศรายชื่อผู้ทรงอิทธิพลของโลก 100 คน จากผลงานที่เขาได้ พยายามค้นคว้าศึกษาเรื่องอียิปต์ โบราณ โดยเฉพาะ

เรื่องอันน่าสนใจของ ยุวกษัตริย์ ตุตัน-คาเมน ซึ่งเขาได้ใช้เทคโนโลยีทีซีสแกนในการเผยพระพักตร์ ที่แท้จริงขององค์ฟาโรห์ พร้อมๆกับเปิดเผยว่า กษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ได้ถูกปลงพระชนม์เหมือนกับที่เคยเชื่อๆกันมาแต่อดีต ก่อนจากกัน ทีมงานต่วย'ตูน มีของแถมอีกเล็กน้อยสำหรับแฟนานุแฟน นั่นคือ ในช่วงต้นเดือน ธันวาคมที่ผ่านมา มีรายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญของ อังกฤษ ประกอบด้วย โคลิน รีดเดอร์ นักธรณีวิทยา และ โจนาธาน ฟอยล์ นักประวัติศาสตร์ สถาปนิก ที่ได้เปิดเผยการค้นพบว่า ความเข้าใจที่ เราๆท่านๆมีต่อสฟิงซ์ที่ผ่านมานั้น เป็นความเชื่อที่ผิด

จากที่แต่ไหนแต่ไรมา คนทั่วไปคิดว่า สฟิงซ์แห่งกีซ่า มีรูปลักษณ์เป็นสิงโต แต่มีหัวเป็นมนุษย์ ซึ่งน่าจะจำลองมาจากพระพักตร์ของ ฟาโรห์คาเฟร แต่จากการค้นคว้าครั้งใหม่ของนักวิชาการชาวอังกฤษ ได้พบว่า ดั้งเดิมจริงๆ แล้ว สฟิงซ์มีใบหน้าเป็นสิงโตต่างหาก

อันที่จริง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ บรรดานักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพดิจิตอล จากองค์ประกอบที่เหลืออยู่ แล้วฟันธงลงไปว่า สฟิงซ์ยักษ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา ก่อนตัวมหาพีระมิดกีซ่า และน่าจะถูกสลักใบหน้าเป็นหน้าราชสีห์ก่อน แล้วจึงถูกสลักใหม่ภายหลังให้เป็นพระพักตร์ขององค์ฟาโรห์ในที่สุด

ส่วนจะเชื่อถือได้หรือไม่ คงต้องรอดูในระยะ ยาว ว่าจะมีใครหาทฤษฎีมาแย้งคุณพี่รีดเดอร์ กะพี่ฟอยล์ได้หรือเปล่า ส่วนตอนนี้ ขอปักใจเชื่อคณะวิจัยของอังกฤษไปพลางๆก่อน


วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2563

Al Naslaa Rock ปริศนาหินผ่าซีกลึกลับ


Al Naslaa Rock ปริศนาหินผ่าซีกลึกลับแห่งดินแดนทะเลทราย

มีสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติหลายอย่าง ที่ยังคงมีปริศนาจาก
ต้นกำเนิด ซึ่งมนุษย์ยังหาคำอธิบายไม่ได้ 

รวมถึง Al Naslaa Rock การก่อตัวของหินผ่าซีกลึกลับตั้งแต่สมัยโบราณกาล หินที่ทรงตัวได้อย่างดีในเวลาหลายร้อยหลายพันปี ทำให้ผู้คนสงสัยใคร่รู้เดินทางมาหาคำตอบด้วยตัวเองท่ามกลางทะเลทราย ในโอเอซิสเทย์มา ณ ประเทศซาอุดิอาราเบีย

Al Naslaa Rock เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวท่ามกลางทะเลทรายที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุด 

สิ่งที่ทำให้หินก้อนนี้มีความพิเศษก็คือ รอยแตกตรงกลางอันสมบูรณ์แบบของหินซึ่งเป็นรอยช่องว่างที่มองด้วยตาเปล่าแล้วจะเห็นว่ามีระยะที่เท่ากันกันมาก รอยแตกได้แบ่งก้อนหินทรงแบนให้เป็นสองซีก ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดเล็กที่ไม่น่าจะรองรับได้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหินได้ทรงตัวคงอยู่แบบนี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน

ต้นกำเนิดรอยแตกของหินนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีสมมติฐานว่าอาจจะมาจากปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เขื่อนของภูเขาไฟปรับตัวลดลงทำให้แร่ธาตุและสิ่งที่อยู่ใต้ดินผุดขึ้นมาบ้างก็ว่าหินก้อนดังกล่าวเก่าเกินไปจึงเกิดการผุพัง...
แต่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่ารอยแตกทำไมถึงมีขนาดช่องว่างที่เกือบเป็นเส้นตรงขนาดนี้ ซึ่งบนแผ่นหินยังมีร่องรอยอารยธรรมโบราณหลงเหลืออยู่อีกด้วย...

ลองชมคลิปด้านล่างนี้ประกอบไปด้วย..

Custom Search

ค้นพบพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในประเทศคาซัคสถาน

ค้นพบพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก…ในประเทศคาซัคสถาน (จริงหรือ?)

ถ้าพูดถึงอียิปต์เรามักคิดถึง ‘พีระมิด’ เป็นอย่างแรก และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในประเทศอียิปต์

นักโบราณคดีค้นพบพีระมิดสไตล์อียิปต์ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเป็นที่แรกในโลก แต่มันไม่ได้อยู่ในประเทศอียิปต์ กลับอยู่ในประเทศคาซัคสถาน ห่างออกไปเกือบ 4,000 ไมล์

นักโบราณคดีค้นพบซากปรักหักพังของโครงสร้างพีระมิดขนาดใหญ่มหาศาลนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ได้เลือกที่จะเก็บไว้เป็นความลับ เพิ่งจะเปิดเผยเอาตอนนี้...
Victor Novozhenov นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติคาซัคสถานได้เรียกมันว่าเป็น “การค้นพบจากความรู้สึก” โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันโบราณคดีในเมืองคารากันดาที่นำโดย 

พีระมิดที่เพิ่งค้นพบนี้ตั้งอยู่ในที่ราบซาร์ยาร์กาใกล้เมืองคารากันดา ห่างจากกรุงไคโรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3,900 ไมล์ ..
มีลักษณะเป็นพีระมิดขั้นบันไดคล้ายกับพีระมิด Djoser ในอียิปต์ แต่เชื่อว่าสร้างขึ้นก่อนราว 1,000 ปี

Novozhenov กล่าวว่า “เราจะเข้าไปดูในหลุมฝังศพภายในสัปดาห์นี้ ทุกอย่างที่เราพบจะถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีคารากันดา”
นักโบราณคดีบอกว่ามีสิ่งก่อสร้างประมาณ 27 รายการ มีอายุแตกต่างกันตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ โครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดคือพีระมิดหินขั้นบันได 5 ชั้น และห้องฝังศพขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 7 เมตร
ล่าสุด Novozhenov ได้ออกมาเปิดเผยว่าพีระมิดที่เพิ่งค้นพบนี้ไม่ใช่พีระมิดแรกของโลกตามที่สื่อหลายสำนักรายงาน มันถูกสร้างในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ มีอายุราว 3,000 ปี แต่พีระมิด Djoser ในอียิปต์ มีอายุราว 4,700 ปี
Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

ภาษาลึกลับที่ยังไม่มีใครอ่านออกจารึก อักษรโรโงโรโง

👽ภาษาที่ยังไม่มีใครอ่านออก!
 จารึก ‘อักษรโรโงโรโง’ แห่งเกาะอีสเตอร์ หรือนี่จะเป็นบันทึกจุดจบของโลกกันแน่
‘เกาะอีสเตอร์’ (Easter Island) คือเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปทางทิศตะวันตกราว 3,600 กิโลเมตร เป็นเกาะที่อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศชิลี สิ่งที่ทำให้เกาะอีสเตอร์เป็นที่รู้จักก็คือ
‘รูปปั้นโมอาย’(Moai)(รูปปั้นหินปริศนาแห่งเกาะอีสเตอร์ มรดกโลกสุดล้ำค่าที่ยังรอการพิสูจน์ว่าสร้างเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่) 

🗿รูปปั้นหินขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปหน้าคน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า เกาะแห่งนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือ ‘อักขระโบราณ’ ที่ไม่มีใครสามารถอ่านออก ว่ากันว่า อักขระนี้เป็นบันทึกที่บอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่โลกประสบภัยพิบัติจากพายุพลาสมาของดวงอาทิตย์! จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไรนั้น มาหาคำตอบพร้อมๆ กันได้เลย
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1864 มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสนามว่า ‘Eugène Eyraud’ ได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาบนเกาะอีสเตอร์ และได้ค้นพบ ‘อักษรโรโงโรโง’ (Rongorongo) อักขระโบราณที่จารึกเป็นอักษรภาพลงบนแผ่นไม้จำนวน 29 แผ่น มีจำนวนตัวอักษรกว่า 14,000 ตัวอักษร โดยลักษณะของอักษรภาพเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นสัญลักษณ์และท่าทางของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น นก ปลา เต่า นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์ของเทพเจ้า ต้นไม้ และรูปทรงเรขาคณิต คาดการณ์กันว่า อุปกรณ์ที่ใช้จารึกอักษรภาพน่าจะเป็นฟันฉลาม เศษหิน หรือกระดูกนกแก้ว แต่ในขณะนั้นยังไม่มีใครสามารถแปลความหมายของแผ่นจารึกนี้ได้ ต้องปล่อยแผ่นจารึกนั้นไว้เป็นปริศนาเรื่อยมา

จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2010
‘Robert M. Schoch’ นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากวิทยาลัยการศึกษาทั่วไป (College of General Studies) แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University) สหรัฐอเมริกา ได้เดินทางไปที่เกาะอีสเตอร์เพื่อศึกษาและทำงานวิจัยเกี่ยวกับ ‘อักษรโรโงโรโง’ 
พบว่า อักษรภาพเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับภาพสลักดึกดำบรรพ์
ที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก และยังดูคล้ายกับลายเส้นขนาดยักษ์ที่อยู่บนที่ราบสูงนาซกา ประเทศเปรู อีกด้วย 
(‘ลายเส้นนัซกา’ ปริศนาบนพื้นพิภพที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เป็นฝีมือมนุษย์บนโลกหรือ ‘นอกโลก’
กันแน่?)

นอกจากนั้นเมื่อแปลความหมายของสัญลักษณ์บางส่วนออกมา เรื่องราวก็ดันไปสอดคล้องกับงานวิจัยของ ‘Anthony L. Peratt’ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ที่บอกเอาไว้ว่า ในช่วง 8,000-10,000 ที่แล้ว ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานพลาสมาจำนวนมหาศาลออกมา จนเกือบทำให้โลกต้องสูญสิ้น!
‘Robert M. Schoch’ จึงสันนิษฐานว่า ‘อักษรโรโงโรโง’ คือบันทึกที่ว่าด้วยเรื่องราวเมื่อครั้งที่โลกต้องประสบภัยพิบัติจากพายุพลาสมาความร้อนสูงที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมา ทำให้มนุษย์ในยุคนั้นต้องหนีตายเข้าไปหลบอยู่ในถ้ำหรือใต้หน้าผาที่มีหินกำบัง หลังจากนั้นโลกก็เข้าสู่ยุคมืด ทุกอย่างถูกเผาทำลาย จนอารยธรรมโบราณต่างๆ พังพินาศ ความร้อนมหาศาลยังทำให้น้ำแข็งละลายจนยุคน้ำแข็งต้องสิ้นสุด!
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น .....
Custom Search
เพราะจวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถถอดความหมายของ ‘อักษรโรโงโรโง’ ได้ ว่าแท้ที่จริงแล้วมนุษย์ในยุคนั้นต้องการบอกอะไรกันแน่!..

พบซากดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ของ สลอธยักษ์ในเม็กซิโก

ค้นพบซากดึกดำบรรพ์สายพันธุ์ของ สลอธยักษ์ในเม็กซิโก
🐱นัก​วิทยาศาสตร์​จาก​สถาบัน​นักมนุษย์วิทยา​และ​ประวัติศาสตร์​แห่งชาติ​เม็กซิโก เผย​ถึง​การ​ค้น​พบ​ซาก​ดึกดำบรรพ์​กะโหลก​สิ่ง​มี​ชีวิต​ขนาด​ใหญ่มากๆ...

ที่​สันนิษฐาน​ว่า​จะ​เป็น​สาย​พันธุ์​ย่อย​ของ​สลอธ​ยักษ์ เป็น​สัตว์​เลี้ยง​ลูก​ด้วย​นม​ที่​อยู่​ใน​กลุ่ม​เดียว​กับ​ตัว​นิ่ม​และ​นางอาย และ​มี​การเคลื่อนไหว​ที่​แสน​จะ​เชื่องช้า โดย​ซาก​ที่​พบ​คาด​กว่า​มัน​มี​ชีวิต​อยู่​เมื่อ 10,000 ปี​ที่​แล้ว และ​ร่าง​ฝัง​อยู่​ใน​ถ้ำ​หลุม​ยุบ​ใต้​น้ำ​ตั้งแต่​ยุค​ไ​พล​ส​โค​ซี​น (Pleistocene)

จาก​การ​นำ​เอา​กะโหลก กระดูก​ขากรรไกร รวม​ถึง​กระดูก​ซี่โครง​และ​กระดูก​ชิ้น​อื่นๆมา​รวม​กัน และ​พบ​ว่า​ส่วน​ที่​เหลือ​ของ​กระดูก​ยัง​เหลือ​อยู่​ประมาณ 50 เมตร​ที่​อยู่​ใต้​น้ำ 
ซึ่ง​นัก​วิทยาศาสตร์​กำลัง​วาง​แผน
ที่​จะ​นำ​ส่วน​ที่​เหลือ​ขึ้น​มา​ใน​ปี​หน้า เพราะ​เมื่อ​มา​เรียง​ต่อ​จน​ครบ​ก็​จะ​วิเคราะห์​ได้​ว่า​สัตว์​ตัว​นี้​ใหญ่​ขนาด​ไหน​เมื่อ​ครั้ง​ที่​มัน​ยัง​มี​ชีวิต ...

เบื้องต้น​นั้น​ ทีม​ที่​ค้น​พบ​ได้​ตั้ง​ชื่อ​สาย​พันธุ์​ใหม่​นี้​ว่า Xibalbaonyx oviceps และ​ให้​ชื่อเล่น​ว่า​โป​เต้ (Pote)ซาก​ดึกดำบรรพ์​ดัง​กล่าว​พบ​ใน​ถ้ำ​ใต้​น้ำ​แห่ง​หนึ่ง​ใน​คาบสมุทร​ยู​คาตาน ประเทศ​เม็กซิโก ซึ่ง​เป็น​ที่​ตั้ง​ของ​ถ้ำ​ใต้​น้ำ​ที่​ใหญ่​ที่สุด​ใน​โลก​และ​มีชื่อ​เสียง​ดึงดูด​นัก​ดำ​น้ำ​ถ้ำ​จาก​ทั่ว​โลก​ด้วย โดยเฉพาะ​ถ้ำ​ใต้​น้ำ​ซี​โน​เต (cenotes) ที่​มี​น้ำ​ทะเล​สี​มรกต​ หรือ​เป็น​สี​เท​อร์ค​วอ​ยซ์ซึ่ง​เกิด​จาก​แสง​ด้าน​บน​ตกกระ​ทบ​ลง​บน​ผิวน้ำ.
Custom Search

5 การค้นพบทางโบราณคดีอันน่าตะลึง

5 การค้นพบทางโบราณคดีอันน่าตะลึง….หนึ่งในนั้นคือซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ที่มีอายุหลายล้านปี!
การค้นพบทางโบราณคดีอันน่าตะลึง….หนึ่งในนั้นคือซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ที่มีอายุหลายล้านปี!
✔ฟอสซิลน็อต : เมื่อนานมาแล้ว คณะนักสำรวจชาวรัสเซียได้เดินทางไปตรวจสอบเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติในเขตคาลูก้า แต่พวกเขาได้พบกับสิ่งที่น่าพิศวงกว่านั้น คือซากฟอสซิลน็อตที่นำไปตรวจสอบแล้วพบว่ามันมีอายุเก่าแก่ถึง 320 ล้านปี! นั่นหมายถึงว่าเจ้าฟอสซิลน็อตตัวนี้ถูกสร้างในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ แต่คำถามคือ ในยุคนั้นมีเผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดขึ้นแล้วงั้นหรือ และหากมนุษย์มีตัวตนอยู่จริงในช่วงเวลานั้น ย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องมีวิวัฒนาการในระดับสูงที่เดียว ที่สามารถสร้างน็อตปริศนาเช่นนี้ได้
✔ซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ : 
ในปี ค.ศ.1968 ที่รัฐยูทาห์ 
”วิลเลียม เจมส์” นักขุดเหมืองได้ค้นพบซากฟอสซิลไทรโลไบ สัตว์เปลือกแข็งที่มีอายุหลายร้อยปีก่อน

แต่สิ่งที่ทำให้เจมส์ต้องตกใจคือไม่ไกลกันนักกลับมีฟอสซิลรอยเท้าของมนุษย์ติดอยู่ด้วย! เมื่อเขาได้นำนักสำรวจเข้ามาตรวจสอบ พบว่าฟอสซิลทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกันที่ 500 ล้านปีก่อน นั่นหมายความว่าในยุคนั้นอาจมีเผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
✔ซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ที่นิวเม็กซิโก : นี่คือซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ในชั้นหินที่มีอายุ 250 ล้านปี ตรงกับยุคเปอร์เมียน ที่นักสำรวจได้ค้นพบ กล่าวกันว่ามันอาจใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่ามีเผ่าพันธุ์มนุษย์อาศัยอยู่ในยุคนั้นจริง
✔ซากฟอสซิลนิ้วมนุษย์ : ราวปี ค.ศ.1980 นักโบราณคดีได้ค้นพบซากฟอสซิลที่ทำเอานักวิชาการหลาย ๆ คนต้องกุมขมับ เพราะมันคือซากฟอสซิลที่มีลักษณะเหมือนนิ้วมือของมนุษย์ ที่ถูกค้นพบในชั้นหินที่มีอายุหลายร้อยล้านปี ที่น่าตกใจคือเมื่อผู้เชี่ยวชาญนำไปตรวจสอบ พบว่ามันมีโครงสร้างเหมือนโครงกระดูกอยู่ภายใน
✔ฟอสซิลปลั๊กไฟ : ที่แคลิฟอร์เนีย นักสำรวจกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบซากฟอสซิลที่มีรูปร่างเหมือนปลั๊กไฟที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันในก้อนหิน ผู้เชี่ยวชาญได้นำมันได้ตรวจสอบและพบว่าซากฟอสซิลปลั๊กไฟดังกล่าวทำจากทองแดงและมีอายุถึง 500,000 ปี!
Custom Search

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563

คืนชีพแมมมอธขนยาวใน 2 ปีข้างหน้า ทำได้จริงหรือไม่

คืนชีพแมมมอธขนยาวใน 2 ปีข้างหน้า 
ทำได้จริงหรือไม่ ?
แมมมอธขนยาวมีชีวิตอยู่ในยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด และฝูงสุดท้ายสูญพันธุ์ไปเมื่อ 4,000 ปีก่อนเจาะลึกความเป็นไปได้ของโครงการ
คืนชีพช้างแมมมอธขนยาวของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จะทำสำเร็จภายใน 2 ปีจากนี้ได้จริงหรือไม่

เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวความพยายามคืนชีพช้างแมมมอธขนยาวที่สูญพันธุ์ไปแล้วนับหลายพันปี โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สร้างความฮือฮาให้กับวงการวิทยาศาสตร์อย่างมาก โดยศาสตราจารย์ จอร์จ เชิร์ช ผู้นำโครงการประกาศว่าจะคืนชีพแมมมอธได้ภายในเวลาเพียง 2 ปีนับจากนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อจนนักบรรพชีวินวิทยา จอห์น ฮอว์กส์ ถึงกับออกมาแย้งว่าเรื่องนี้เป็น "ข่าวปลอม" อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบรายละเอียดของโครงการคืนชีพแมมมอธภายใน 2 ปีข้างหน้านี้พบว่า ไม่ได้ปราศจากความเป็นไปได้เสียทีเดียว เพียงแต่อาจต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีกเล็กน้อย และผลที่ได้จะไม่ใช่ช้างแมมมอธขนยาวตัวเป็น ๆ วิ่งโลดแล่นในทุ่งหญ้าของไซบีเรียอย่างที่หลายคนจินตนาการไว้ แต่อาจเป็นเซลล์ตัวอ่อนของ "ลูกครึ่งแมมมอธ" เพียงเซลล์เดียวเท่านั้น
ช้างแมมมอธขนยาวไม่ใช่สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วชนิดแรกที่วิทยาศาสตร์ช่วยให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่เป็นแพะภูเขา Pyrenean ibex ซึ่งห้องทดลองในสเปนเพาะสัตว์ชนิดนี้ขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จเมื่อปี 2003 แม้มันจะมีชีวิตอยู่หลังลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ในกรณีของช้างแมมมอธขนยาว วิทยาการนำสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วให้กลับคืนชีพมาอีกครั้ง ได้ล้ำหน้าไปจากเทคนิคของเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังต้องใช้หลักการโดยทั่วไปอย่างเดิม โดยในขั้นแรกต้องสร้างเซลล์ของแมมมอธเซลล์แรกขึ้นมาให้ได้ก่อน แล้วจึงกระตุ้นให้กลายเป็นตัวอ่อน และเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนกลายเป็นแมมมอธทั้งตัว ซึ่งในกรณีของศาสตราจารย์เชิร์ชนั้นเชื่อว่าจะสามารถสร้างเซลล์แรกและตัวอ่อนของ
ช้างแมมมอธได้ภายในสองสามปีข้างหน้านี้

ชี้โลกสิ้นแมมมอธขนยาวฝูงสุดท้ายเพราะกรรมพันธุ์บกพร่องตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศาสตราจารย์เชิร์ชและคณะสามารถนำยีนของแมมมอธขนยาวใส่เข้าไปในพันธุกรรมของช้างเอเชีย ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับแมมมอธที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันได้ 45 ตำแหน่งแล้ว ซึ่งยีนเหล่านี้จะทำให้ได้ลูกช้างที่มีขนยาวหนา มีไขมันสะสมจำนวนมาก ทั้งมีฮีโมโกลบินในเลือดชนิดพิเศษที่ทำให้อาศัยอยู่ในอุณหภูมิต่ำได้ดีเหมือนช้างแมมมอธในยุคน้ำแข็งอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ช้างเอเชียยังคงมียีนที่แตกต่างจากแมมมอธขนยาวอีกกว่า 1,600 ตำแหน่ง ซึ่งทำให้ลูกช้างที่จะเกิดมาจากการคืนชีพช้างแมมมอธขนยาวในครั้งนี้ ไม่ใช่แมมมอธ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นลูกครึ่งที่มียีนช้างเอเชียอยู่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งศาสตราจารย์เชิร์ชอยากเรียกมันว่า "แมมโมแฟนต์" (Mammophant) หรือ "เอเลมอธ" (Elemoth) มากกว่า แม้มันจะมีลักษณะภายนอกดูคล้ายช้างแมมมอธขนยาวมากก็ตาม
แม้จะสามารถสร้างเซลล์แรกของช้างลูกครึ่งแมมมอธขึ้นมาได้แล้ว ก็ยังจะต้องผ่านด่านการทำให้เป็นตัวอ่อนซึ่งยากลำบากไม่แพ้กัน โดยต้องนำดีเอ็นเอของลูกครึ่งแมมมอธไปใส่ในเซลล์ไข่เปล่า ๆ ของช้างเอเชีย ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการโคลนนิ่งนั่นเอง แต่เทคนิคนี้ก็ยังมีปัญหาอย่างมาก 

เพราะนักวิทยาศาสตร์ยังขาดความเข้าใจอย่างละเอียดในกระบวนการโคลนนิ่ง ทำให้ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าจะใช้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อย่างช้างได้หรือไม่ ดังนั้นจึงอาจต้องมีการทดลองโคลนนิ่งช้างเอเชียก่อน โดยต้องเก็บไข่จากช้างตัวหนึ่ง และนำตัวอ่อนไปไว้ในครรภ์ของแม่ช้างอีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการยากและอันตรายกับช้าง

ซึ่งปัจจุบันเป็นสัตว์ที่มีจำนวนลดลงจนอยู่ในระดับใกล้เสี่ยงสูญพันธุ์
โครงกระดูกแมมมอธขนยาวเพศผู้ที่ถูกนำออกมาประมูลที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ 3 ปีก่อน มีความสูงสามเมตรครึ่ง ยาวห้าเมตรครึ่ง และอาจมีน้ำหนักถึงหกตัน ขณะที่ยังมีชีวิต
โครงกระดูกแมมมอธขนยาวเพศผู้ที่ถูกนำออกมาประมูลที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ 3 ปีก่อน มีความสูงสามเมตรครึ่ง ยาวห้าเมตรครึ่ง และอาจมีน้ำหนักถึงหกตัน ขณะที่ยังมีชีวิต
อย่างไรก็ตาม
ศาสตราจารย์เชิร์ชหวังว่าจะสามารถคืนชีพช้างแมมมอธขนยาวได้ โดยไม่ต้องรบกวนการดำรงชีวิตของช้างในปัจจุบัน โดยอาจใช้เทคนิคการเพาะเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์จากผิวหนังช้างเอเชีย แล้วนำไปกระตุ้นให้กลายเป็นเซลล์ไข่ ส่วนตัวอ่อนนั้นสามารถนำไปเพาะเลี้ยงใน "ครรภ์ประดิษฐ์" หรือมดลูกที่สร้างขึ้นโดยไม่ต้องให้แม่ช้างอุ้มท้องได้ โดยปัจจุบันห้องทดลองของเขาได้พัฒนาครรภ์ประดิษฐ์นี้ จนสามารถเลี้ยง
ตัวอ่อนหนูให้เติบโตได้นานเป็นเวลา 10 วันแล้ว

เพาะเลี้ยงตัวอ่อนลูกครึ่งช้างแมมมอธให้เติบโตนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะลูกช้างมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเท่าเครื่องซักผ้า 
ทั้งสูตรของสารอาหารที่หล่อเลี้ยงตัวอ่อนในครรภ์นั้นก็น่าจะแตกต่างกันไปในสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งต้องมาคิดค้นกันต่อ

นอกจากนี้ ยังมีคำถามด้วยว่าควรจะคืนชีพให้สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วดีหรือไม่ เพราะมันอาจไม่สามารถมีชีวิตรอดในโลกปัจจุบัน ซึ่งสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยได้สูญสิ้นไปแล้ว หรือเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์แต่แรกนั้นยังอาจคงอยู่ สัตว์ที่คืนชีพมาใหม่ยังอาจกลายเป็นศัตรูพืชหรือตัวทำลายสมดุลของระบบนิเวศ ส่งผลกระทบไม่พึงประสงค์ต่อคนและสัตว์
ชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย

เหลือเชื่อพม่าขุดพบ ก้อนหยกหนัก 175 ตัน


เหลือเชื่อ! พม่าขุดพบ "ก้อนหยก" หนัก 175 ตันประเมินมูลค่าสูงเกือบ 6 พันล้านบาท!

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เหมืองหยกทางรัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือ ในประเทศพม่า หลังจากคนงานในเหมืองขุดพบหยกขนาดใหญ่เป็นก้อนที่ 2 ของโลกโดยบังเอิญ เมื่อตรวจสอบพบว่ามีน้ำหนักถึง 175 ตัน หรือ 174,600 กิโลกรัม

สำนักข่าวบีบีซีได้รายงานว่า คนงานในเหมืองหยกที่รัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือของพม่า ได้ขุดพบหยกก้อนใหญ่โดยบังเอิญ ซึ่งมีน้ำหนักมากถึงเกือบ 175 ตัน หรือ 174,600 กิโลกรัม  สูง 4.3 เมตร ยาว 5.8 เมตร เมื่อประเมินราคาแล้วพบว่ามีราคาสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,950 ล้านบาท

ซึ่งหยกก้อนดังกล่าวถือว่าเป็นหยกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของหยกที่เคยขุดพบ และเป็นหยกก้อนใหญ่ที่สุดที่ขุดพบในประเทศพม่า 
โดยหยกก้อนที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้หนักถึง 260 ตัน หรือ 260,000 กิโลกรัม ล่าสุดถูกนำไปสลักเป็นพระพุทธรูปหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกประดิษฐานที่วัดพระหยกประเทศจีน

อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมเหมืองหยกนับในประเทศพม่าถือเป็นแหล่งหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก...
และมีมูลค่าการซื้อขายหยกสูงถึงกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.75 ล้านล้านบาทต่อปีรวมถึงตลาดใหญ่ที่สุดของหยกพม่าคือจีน

รายการบล็อกของฉัน