Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อิตาลี พบ แมลงโบราณอายุเกิน250ล้านปี

อิตาลี พบ แมลงโบราณอายุเกิน250ล้านปี
นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยแห่งชาติและธรณีวิทยา ในเมืองพาโดวา ของอิตาลี เปิดเผยว่า พวกเขาค้นพบซากแมลงโบราณเล็ก ๆ 2 ตัว และชิ้นส่วนลำตัวของแมลงวัน ที่มีอายุมากกว่า 250 ล้านปี หรือ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และเชื่อว่า นี่เป็นแมลงที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการค้นพบมา
นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า พวกเขาได้ทำงานวิจัยร่วมกับ
นักวิทยาศาสตร์ของ
มหาวิทยาลัยก้อททิงเก้น
ในเยอรมนี และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในนิวยอร์กของสหรัฐ และระหว่างที่กำลังตรวจสอบอำพันหยดเล็ก ๆ ประมาณ 1 มิลลิเมตร ที่สกัดมาจากพื้นที่ราบสูงบนภูเขาโดโลไมต์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ 
ก็ได้พบกับซากแมลงขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แมลงเล็ก ๆ สองตัว พร้อมกับชิ้นส่วนของแมลงวันโบราณ ได้รับการรับรองว่าเป็นแมลงสายพันธ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า ไทรอาซาคารัส เฟเดเลอี และ แอมเปซโซอา ไทรแอสซิก้า

ซึ่งอาจจะเป็นบรรพบุรุษของแมลงจำพวกตัวไร ที่เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

นักฟิสิกส์ ชาวดัตช์ ไขความลับอีกหนึ่งข้อของการสร้างปิรามิด


นักฟิสิกส์ ชาวดัตช์ ไขความลับอีกหนึ่งข้อของการสร้างปิรามิด
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายแดเนียล บอนน์ ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ พร้อมทีมนักฟิสิกส์ ได้เปิดเผยข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความลับของการสร้างปิรามิดที่เป็นข้อกังขากับข้อสงสัยที่ว่า
เมื่อสมัยพันปีก่อน คนยุคโบราณสามารถเคลื่อนย้ายแท่งหินทรายขนาดยักษ์ได้อย่างไร ซึ่งทีมนักฟิสิกส์เผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ความซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะมีการเขียนระบุบนภาพฝาผนังภายในปิรามิดของสุสานโบราณของจีฮูตีโฮเตป ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ในช่วง 1900 ปีก่อนคริสตกาล
ภาพเขียนดังกล่าวได้รับการตีความที่ผิดๆ ทำให้ไม่สามารถไขความลับได้สักที ซึ่งทีมฟิสิกส์เผยว่า ในภาพเป็นผู้ชายอียิปต์ 172 คน กำลังลากเชือกยาวผูกติดกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีผู้ชายคนหนึ่งคอยเทบางอย่างลงสู่พื้น ซึ่งทีมวิจัยชี้ว่า น่าจะเป็นน้ำ เนื่องจากน้ำช่วยลดการเสียดสีระหว่างวัตถุกับพื้นทรายได้และสามารถทำให้ของหนักๆเคลื่อนไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น

โดยภาพนี้ถูกนักอียิปต์วิทยาตีความว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมอย่างหนึ่ง แต่ทีมนักฟิสิกส์มองว่า มันช่วยไขปริศนาเรื่องนี้ได้ ซึ่งทางทีมนักฟิสิกส์ได้ทดลองราดน้ำลงไปบนทรายแล้วลากวัตถุ ซึ่งก็พบว่ามันสามารถทำให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างดี โดยสิ่งนี้เป็นภูมิปัญญาและไหวพริบที่น่าทึ่งของชาวอียิปต์โบราณ และเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้

ปูมบันทึกลึกลับ4,500ปี เผยวิธีสร้างมหาปิรามิด


พบปูมบันทึก4,500ปี เผยวิธีสร้าง”มหาปิรามิด”
พิพิธภัณฑสถานแห่งอียิปต์ ในกรุงไคโร กำลังจัดแสดงปูมบันทึกด้วยตัวอักษรเฮียโรกลิฟิค (อักษรภาพ) บนกระดาษปาปิรัส ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบกันมาในอียิปต์ มีอายุถึง 4,500 ปี ที่สำคัญก็คือ ปูม
บันทึกดังกล่าวนี้ยังบันทึกรายละเอียดบางส่วนของการสร้างมหาปิรามิดแห่งกิซา ไว้อีกด้วย

มหาปิรามิดแห่งกิซา สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาโรห์ คุฟู ซึ่งครองบัลลังก์ระหว่าง 2,551 ปีก่อนคริสตกาลเรื่อยมาจนกระทั่งถึง 2,528 ปีก่อนคริสตกาล ที่ได้ชื่อว่ามหาปิรามิด เนื่องจากเป็นปิรามิดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาปิรามิดทั้งสามบนที่ราบกิซา
ในปูมบันทึกเก่าแก่ดังกล่าวระบุเอาไว้ว่า “สิ่งมหัศจรรย์ของโลก” นี้เมื่อแรกสร้างเสร็จนั้นสูง 146 เมตร ในปัจจุบันมหาปิรามิดสูงเพียง 138 เมตรเท่านั้น

ปูมบันทึกอายุ 4,500 ปีดังกล่าวถูกค้นพบโดยปิแอร์ ทัลเลต์ นักอียิปต์วิทยาจากมหาวิทยาลัยปารีส-ซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส กับ เกรกอรี มารูอาร์ด นักโบราณคดีจากสถาบันโอเรียทัล ของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2013 บริเวณแหล่งขุดค้นริมทะเลแดง ที่เมือง วาดี-อัล-จาร์ฟ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์ เก่าแก่กว่าท่าเรืออื่นๆ
ที่เคยมีการค้นพบไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี
ในรายงานรายละเอียดการค้นพบทางโบราณคดีของนักวิชาการทั้งสองซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2014 ระบุว่า ค้นพบปูมบันทึกดังกล่าวในตัวอาคารซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บของของท่าเรือดังกล่าว ที่อยู่ห่างเข้ามาจากริมทะเลเพียง 200 เมตร ม้วนกระดาษปาปิรัส
ที่พบมีจำนวนหลายร้อยชิ้น แต่ที่มีสภาพดีเกือบสมบูรณ์มีอยู่เพียง 10 ชิ้น

ในแหล่งเดียวกันนี้ ยังค้นพบเศษซากเรือเก่า สมอเรือยุคโบราณ และปมเชือกที่ใช้กันอยู่ในยุคนั้น
ส่วนหนึ่งของบันทึกเก่าแก่ พูดถึงการที่ส่วนกลางจัดส่งอาหาร ซึ่งหลักๆ แล้วเป็น “ขนมปังและเบียร์” มายังท่าเรือแห่งนี้สำหรับคนงานซึ่งจะออกเรือต่อไป แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับรายละเอียดของการสร้างมหาปิรามิด ซึ่งเนื้อหาบ่งบอกว่าเขียนไว้โดย เมอเรอร์ ผู้ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจการณ์”
ซึ่ง “รับหน้าที่ดูแลทีมงานประกอบด้วยคนราว 200 คน” ในการก่อสร้างดังกล่าว

ปูมบันทึกดังกล่าวเขียนไว้เป็นเหมือนการบันทึกเหตุการณ์ตามตารางเวลา โดยใช้อักษรเฮียโรกลิฟิคสองแถวต่อการบันทึกเหตุการณ์หนึ่งวัน ซึ่งศาสตราจารย์ทัลเลต์ระบุว่า ช่วยให้สามารถติดตามความคืบหน้าในการก่อสร้างได้ต่อเนื่องไปนานราว 3 เดือน

เนื้อหาเป็นการบันทึกถึงกิจกรรมหลายๆ อย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างมหาปิรามิด รวมถึงงานที่ทำในเหมืองหินปูน ที่อยู่ในอีกฟากหนึ่งของลำน้ำไนล์

ตามปูมบันทึกของเมอเรอร์ ระบุเวลาเอาไว้ว่าเป็นปีที่ 27 ในรัชสมัยของฟาโรห์คุฟู และบอกว่ามหาปิรามิดกำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว งานที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ที่การทำ “เคสซิง สโตน” หรือแท่งหินปูนขนาดใหญ่ที่ด้านหนึ่งเรียบอีกด้านลาดเอียง สำหรับใช้ปิดคลุมด้านนอกของปิรามิด

ตามข้อมูลในปูมบันทึก แท่งหินปูนสีขาวที่ใช้เป็น “เคสซิง สโตน” นี้ จัดทำขึ้นที่เหมืองในเมืองทูรา ซึ่งปัจจุบันอยู่ใกล้กับกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ จากนั้นก็นำขึ้นเรือล่องมาตามลำน้ำไนล์ และคลองสาขา
ในปูมยังบอกไว้ด้วยว่า เรือขนแท่งหินดังกล่าวจากทูรามายังจุดก่อสร้างมหาปิรามิดนั้นใช้เวลา 4 วัน

ในบันทึกกล่าวไว้ด้วยว่าการก่อสร้างในปีที่ 27
 ในรัชสมัยฟาโรห์คุฟูนั้น งานก่อสร้างทั้งหมดกำกับดูแลโดยวิเซียร์ อันคาฟ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของฟาโรห์ (วิเซียร์ เป็นตำแหน่งข้าราชสำนักระดับสูง รับใช้องค์ฟาโรห์โดยเฉพาะ)

อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ในยุคเริ่มแรกของการก่อสร้างมหาปิรามิดนั้น ผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นบุคคลอื่น เป็นไปได้ว่าจะเป็นวิเซียร์ อีกรายที่ชื่อ เฮมิอูนู
ศาสตราจารย์ทัลเลต์ ชี้ว่า ปูมบันทึกของเมอเรอร์นี้ ถือเป็นบันทึกแรกที่ทำให้ผู้คนยุคหลังได้รับรู้ถึงรายละเอียดของการก่อสร้างมหาปิรามิดแห่งกิซานี้

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ตามหาสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอาวยันเตปุย


ตามหาสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอาวยันเตปุย
อาวยันเตปุย (Auyan Tepui) เป็นเทือกเขาอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเวเนซูเอลา

คำว่า "เตปุย" แปลว่า ภูเขาหัวตัด คือภูเขาที่มียอดแบนราบเหมือนถูกอะไรเฉือนออกไป ไม่สูง ๆ ต่ำ ๆ อย่างภูเขาทั่วไป บริเวณยอดเขาของเตปุยจึงมีลักษณะเป็นที่ราบสูงมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาทึบ สภาพไม่ต่างกันนักกับป่าดงดิบเบื้องล่าง อีกทั้งมีแม่น้ำลำห้วยไหลผ่าน  น้ำตกเองเจลซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกสูงถึง 979 เมตร ก็ตกลงมาจากหน้าผาของเทือกเขาแห่งนี้

ลักษณะภูมิประเทศอันแปลกประหลาดของอาวยันเตปุยนี่เองที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยส์ จนนำไปแต่งเป็นนิยายเรื่อง "โลกหลงสำรวจ" (The Lost World) ขึ้นมา
เป็นเรื่องของการค้นหาสัตว์ดึกดำบรรพ์ในดินแดนที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อนของคณะนักสำรวจที่มีศาสตราจารย์ชาเลนเจอร์เป็นหัวหน้าคณะ แต่สัตว์ดึกดำบรรพ์อาจมิได้มีอยู่แต่ในนวนิยายเท่านั้น

เพราะเมื่อปี ค.ศ. 1955 อเล็กซานเดอร์ ไลเม นักธรรมชาติวิทยาได้ไปสำรวจเทือกเขาอาวยันเตปุย ขณะที่เขากำลังค้นหาเพชรอยู่ที่ลำน้ำสายหนึ่งบนยอดเขาแห่งนั้น เขาก็แลเห็นสัตว์รูปร่างประหลาดสามตัวนอนผึ่งแดดอยู่บนก้อนหินริมน้ำ ซึ่งเมื่อดูเผิน ๆ รูปร่างของมันคล้ายแมวน้ำมาก แต่พอเขาจ้องมองให้ถนัดกลับพบว่าใบหน้าของมันดูจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานมากกว่า และคอก็ดูจะยาวผิดสัดส่วนจากแมวน้ำทั่วไป ทั้งมันยังมีเท้าแบบใบพายอยู่สองคู่ ภาพที่เขาสเก็ตซ์กลับมานั้นดูคล้าย "เปลสิโอเสาร์" มากกว่าอยางอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่อาจทำให้มันไม่เหมือนเปลสิโอเสาร์ก็เห็นจะเป็นขนาด เพราะสัตว์ที่เห็นนี้ยาวจากหัวจรดปลายหางไม่เกิน 3 ฟุต (90 ซม.)

เป็นไปได้หรือไม่ว่าสัตว์ที่เขาเห็นนั้นเป็นแค่ตัวลูกถึงได้มีขนาดเล็ก แต่ไลเมบอกว่าเขาคิดว่าไม่ใช่ เขาเชื่อว่ามันเป็นพวกที่โตเต็มวัยแลว้ แต่ที่มีขนาดเล็กก็เพราะมันอาจจะเป็นเปลสิโอเสาร์แคระ และจากการที่มีขนาดเล็กนี่เองมันจึงสามารถดำรงชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะขนาดของมันไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของที่นั่น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ แหล่งน้ำบนยอดเขาอาวยันเตปุยนั้นเป็นแหล่งน้ำขนาดเล็ก แม้จะอุดมสมบูรณ์ แต่ปลาก็คงจะมีจำนวนไม่มากนัก เปลสิโอเสาร์ขนาดใหญ่ก็ต้องกินจุ

ซึ่งถ้าหากมันอาศัยอยู่ที่นั่นมันก็คงจะบริโภคปลามากเกินกว่าที่ปลาจะขยายพันธ์เติบโตได้ทัน และเมือปลาหมดไป เปลสิโอเสาร์ก็ไม่มีอะไรกิน มันก็อยู่ไม่ได้ต้องสูญพันธุ์ตามไปนานแล้ว แต่ถ้าเป็นเปลสิโอเสาร์แคระมันก็จะกินปลาไม่มาก ปลาก็ขยายพันธุ์ได้ทัน เปลสิโอเสาร์จึงรอดอยู่ได้ อย่างไรก็ตามหลายคนไม่เชื่อว่าจะเป็นเปลสิโอเสาณ์จริง มันอาจจะเป็นนากที่มีคอยาวก็ได้ บางคนคิดไปไกลกว่านี้ บอกว่ามันอาจเป็นจระเข้ก็ได้

เปลสิโอเสาร์เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์ แต่ก็ไม่ใช่ไดโนเสาร์ เปลสิโอเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในทะเล ซึ่งในยุรนั้นมีสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดที่ออกหากินในทะเล รูปร่างของพวกมัน
จึงเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตในทะเล เช่นขาเปลี่ยนไปกลายเป็นใบพาย บางชนิดมีครีบที่ปลายหาง แต่พวกมันไม่มีเหงือกสำหรับหายใจใต้น้ำแบบปลา

ดังนั้นมันจึงต้องโผล่ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจเป็นครั้งเป็นคราวแบบเดียวกันกับโลมา และวาฬสมัยนี้ เปลสิโอเสาร์ก็เป็นหนึ่งในจำพวกสัตว์เลื้อยคลานที่ออกไปอาศัยอยู่ในทะเล มันมีลำตัวกลม คอเรียวยาวหัวเล็ก หางไม่สั้นไม่ยาว ขาทั้งสี่เป็นรูปใบพาย เดิมเคยเชื่อกันว่าเปลสิโอเสาร์ว่ายน้ำโดยการโบกครีบใบพายไปข้างหน้ามาข้างหลังเหมือนพายเรือ แต่สมัยใหม่มีความเห็นว่ามันโบกครีบขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนนกบินในอากาศ เช่นเดียวกันกับวิธีที่นกเพนกวินหรือเต่าทะเลว่ายน้ำ

ดูจากรูปร่างของเปลสิโอเสาร์แล้วเชื่อว่ามันคงว่ายน้ำไม่เร็ว และคงไม่ล่าเหยื่อด้วยการไล่ตาม แต่คงใช้วิธีลอยตัวตามสบายไปตามกระแสน้ำ พอมีปลาว่ายผ่านมาก็พุ่งหัวออกไปงับ ฟันเล็กแหลมของมันช่วยยึดเหยื่อเอาไว้ไม่ให้ลื่นหลุด

ความรู้เรื่องเปลสิโอเสาร์ยังมีน้อย เรารู้ว่ามันถือกำเนิดขึ้นตอนต้นยุคจูราสสิค หรือเมื่อประมาณ 205 ล้านปีมาแล้ว และสืบต่อเผ่าพันธุ์มาจนถึงปลายยุคครีเทเซียสเมื่อ 65 ล้านปีที่ผ่านมา จึงได้สูญพันธุ์ไปพร้อมกับไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่น ๆ แต่ก็มีบางคนไม่แน่ใจว่าเปลสิโอเสาร์สูญพันธุ์ไปจากโลกจริง ๆ เหตุที่ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจ
ก็เพราะว่าประการแรกมีผู้แลเห็นสัตว์รูปร่างประหลาดในที่ต่าง ๆ หลายต่อหลายแห่งและในวาระต่างกัน ตามคำบอกเล่าของพวกเขารุปร่างของมันคล้ายกันกับเปลสิโอเสาร์

ประการที่สองมิใช่ว่าสัตว์ดึกดำบรรพ์จะสูญพันธุ์ไปเสียทั้งหมด ในช่วงเปลี่ยนยุคจากครีเทเซียสเป็นยุคเทอร์เซียรีที่เรียกกันว่า "ยุครอยต่อเคที"
(KT boundary) เมื่อ 65 ล้านปีก่อน เต่า จระเข้ ปลาฉลาม ต่างล้วนเป็นสัตว์เก่าแก่มีมาก่อนไดโนเสาร์เสียอีกก็ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน นี่ยังไม่นับรวมสัตว์เล็ก ๆ อย่างเช่นแมงดาทะเล ยิ่งเมื่อมีการค้นพบปลาซีลาขันธ์ปลาสมัย 400 ล้านปีมาแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับความเชื่อที่ว่าเปลสิโอเสาร์อาจยังมิได้สูญพันธุ์ไปจริง
(ภาพสเก็ตซ์)
ในปี 1990 อาวยันเตปุยก็ได้ต้อนรับคณะสำรวจอีกคณะหนึ่ง "เฟเบียน มีเชลแองเจลี" นักชีววิทยาได้นำคณะออกสำรวจพืชและสัตว์ของอาวยันเตปุย ระหว่างอยู่ที่นั่นตัวเขาและ "อาร์มันโด" น้องชายก็ได้มีโอกาสเห็นสัตว์ที่คล้ายกันกับที่ไลเมกล่าวถึง มันนอกอยู่บนชะโงกหิน แต่พอพวกเขาจะเข้าไปใกล้เพื่อดูให้เห็นชัด ๆ มันก็กระโดดลงน้ำหายลับไป และในช่วงทศวรรษที่ 1990 นี้เอง คณะถ่ายทำสารคดีของสถานีโทรทัศน์เยอรมันก็ได้ออกไปค้นหาเปลสิโอเสาร์ของอาวยันเตปุย แต่สัตว์เลื้อยคลานที่พวกเขาพบก็มีเพียงจิ้งเหลนน้ำตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ไ่ม่มีโอกาสได้เห็นสัตว์อย่างที่ไลเมบอก

เปลสิโอเสารือาจมิได้มีอยู่แต่ที่อาวยันเตปุยเท่านั้น ในแหล่งน้ำอื่น ๆ ของเวเนซูเอลาก็มีผู้พบสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกันนี้เช่นกัน เมื่อปี 1990 มาร์ค มิลเลอร์ กับคริสตินบุตรสาวได้ไปค้นหาลิงของลัวส์ที่เวเนซูเอลา และที่นั่นพวกเขาก็ได้ยินเรื่องของสัตว์ลึกลับชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในลากูนหรือบึงใหญ่ จากคำบอกเล่าและภาพที่พวกอินเดียนพื้นเมืองวาดให้ดูมันช่างเหมือนกันกับเปลสิโอเสาร์ และนี่เองทำให้มาร์ค มิลเลอร์ ต้องกลับไปเวเนซูเอลาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตามหาสัตว์ลึกลับตัวนี้ มีนาคม 1993 มาร์ค และสตีฟ แมทธิว

😎เพื่อนร่วมทีม
ได้บินจากโอไฮโอ สหรัฐฯ ไปถึงปวยร์โต อาร์ยาคูโซ ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเวเนซูเอลา ที่นั่น "โลเรนโซ โรดริเกซ" เพื่อนเก่าพร้อมกับ "ฮวน" หลานชายได้มาคอยต้อนรับอยู่แล้วที่สนามบิน ที่ที่พวกเขาจะไปกันต่อนั้นเป็นหมู่บ้านของพวกอินเดียนเผ่าปีอาโรอาซึ่งอยู่ในป่าลึก ยังไม่มีถนนตัดผ่านเข้าไป วิธีที่จะเข้าไปให้ถึงที่นั่นถ้าไม่นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำซึ่งออกจะอันตราย ก็จะต้องบินไป ซึ่งโลเรนโซก็ได้เตรียมเช่าเครื่องบินเล็กที่สามารถขึ้นลงบนพื้นดินโล่ง ๆ ในป่าได้เอาไว้แล้ว

มองลงไปจากเครื่องบิน ป่าที่พวกเขากำลังบินผ่านนี้เป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ยังไม่มีคนจากภายนอกบุกรุกเข้าไปแผ้วถาง เครื่องบินบินไปลงที่ทางวิ่งโล่ง ๆ ที่เป็นเพียงพื้นดินปนทราย จากที่นั่นพวกเขายังต้องเดินเท้าอีกหลายชั่วดมงกว่าจะถึงหมู่บ้านกัมปานีของชนเผ่าปีอาโรอา โลเรนโซได้เตรียมหาคนนำทางที่ชำนาญป่าเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาชื่อ "อามาดา" เป็นผู้ที่รู้จักป่าบริเวณนั้นเป็นอย่างดี รู้จักรอยเท้าของสัตว์ทุกชนิด รู้ว่าที่ใดควรไป ที่ใดมีอันตรายควรเลี่ยง อามาดาพาพวกเขาไปพบคนพื้นเมืองตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในละแวกนั้นเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ที่พวกเขากำลังตามหา หมู่บ้านหนึ่ง ๆ ก็มีคนอาศัยเพียง 40 - 50 คนเท่านั้น

แล้ววันหนึ่ง "ฟรานซิสโก" หัวหน้าหมู่บ้านกัมปานีที่พวกเขาไปพักอยู่ด้วยได้เล่าเรื่อง "สัตว์ประหลาดของบึงกัมปานี" ให้พวกมาร์คฟังว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูก ๆ ของเขาได้เอาเรือออกไปในบึงเพื่อที่จะล่านกน้ำ แต่ยิ่งพายลึกเข้าไปก็ยิ่งไม่พบนก แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็แลเห็นน้ำหมุนเป็นวงกว้างอยู่กลางบึง และมีสัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นสมเสร็จโผล่ขึ้นมา พวกเขารีบจ้วงพายเข้าไปหามัน แต่พอเข้าไปใกล้ก็พบว่าไม่ใช่สมเสร็จ ตอนนั้นเย็นโพล้เพล้แล้วจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สังเกตเห็นว่าผิวหนังของมันเกลี้ยง ๆ เป็นสีเทา หัวใหญ่ พวกเขาบอกว่าริมฝีปากของมันห้อยลง ลำตัวของมันพอ ๆ กับสมเสร็จ แต่มีหางยาวคล้ายงู สัตว์ตัวนี้ยาวขนาดคนห้าคนนอนต่อ ๆ กัน (ราว ๆ 8 เมตร) และว่าตอนกลางคืนดวงตาของมันเรืองแสงด้วย ภรรยาของฟรานซิสโกยังได้เสริมอีกว่ามีสัตว์น่ากลัวอีกหลายชนิดอาศัยอยู่ในแม่น้ำเวนตูอารี

เช้าวันรุ่งขึ้น มาร์คกับพรรคพวกก็นั่งเรือออกไปสำรวจแม่น้ำเวนตูอารีกันและพยายามจะเข้าไปให้ถึงบึงใหญ่ที่ฟรานซิสโกบอกว่าเป็นที่อาศัยของสัตว์ลึกลับตัวนั้น แต่ก็ไม่สามารถเอาเรือผ่านป่าพรุที่มีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ จึงต้องกลับ วันต่อมาจึงเอาเรือขุดลำเล็กซึ่งไปกันได้แค่สี่คน คือมาร์ค สตีฟ ฮวน และอามาดา คนนำทาง เมื่อไปถึงชายบึง อามาดาขอนั่งคอยอยู่บนตลิ่งเพราะกลัว ปล่อยให้สามคนที่เหลือถ่อเรือเข้าไปกันเอง มาร์คสังเกตเห็นว่าแถวนั้นออกจะเงียบผิดปกติ ไม่มีนาก ไม่มีนกน้ำมาปรากฏตัวให้เห็นบ้างเลย ยิ่งลึกเข้าไปน้ำก็ยิ่งลึกจนไม้ถ่อยันไม่ถึงพื้น พวกเขาตั้งใจจะเข้าไปให้ถึงใจกลางบึง

🙄ที่ตรงนั้นพวกชาวบ้านบอกว่ามีโพรงหรือถ้ำใต้น้ำทะลุไปถึงแม่น้ำเวนตูอารีและบึงอื่น ๆ ได้ อาศัยถ้ำใต้น้ำนี้เองสัตว์ตัวนั้นถึงเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยง่าย ขณะที่พวกเขาพายเรืออยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีอะไรหนุนใต้ท้องเรือจนรู้สึกว่าเรือถูกยกลอยพ้นผิวน้ำ สตีฟร้องตะโกนให้ทุกคนระวังตัว เรือตกลงกระแทกน้ำโดยแรงจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว

เคราะห์ดีที่เรือไม่คว่ำ พอได้สติและประคองเรือไว้ได้ มาร์คมองกลับไปที่ฝั่งก็ไม่เห็นอามาดาเสียแล้ว สตีฟพายเรือข้ามบึงอย่างระมัดระวัง และในตอนนั้นเองมาร์คก็แลเห็นอะไรอย่างหนึ่งที่ชายฝั่งตรงข้าม มันดูคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ยาวราว 15-20 ฟุต (4.5 - 6 เมตร) สีเทา ๆ หรือสีเงิน มาร์คบอกให้สตีฟชะลอฝีพาย พร้อมกับใช้กล้องส่องทางไกลส่องดู แต่ก็เห็นแค่ผิวหนังสีเทา ๆ สัตว์ตัวนั้นว่ายน้ำออกน้ำลึกแล้วก็ดำจมลงไป พวกเขาจึงพายเรือเลาะไปตามชายฝั่งไปยังที่ที่มาร์คเห็นสัตว์ตัวนั้น แต่ก็ไม่พบรอยเท้า มีเพียงพื้นโคลนแห่งหนึ่งมีรอยเหมือนสัตว์ใหญ่ไถลตัวลงน้ำ

เมื่อพวกเขาพากันกลับออกมาจากบึงก็พบอามาดาตัวสั่นงันงก เขาบอกว่าเขาเห็นสัตว์รูปร่างคล้ายงูตัวยาวมากว่ายน้ำตามเรือไป มันเคลื่อนตัวไปในน้ำเหมือนตัวหนอน แม้ว่าเขาเป็นพรานและนักแกะรอย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นสัตว์อะไรแบบนี้มาก่อน อารามกลัวเขาจึงรีบหนึออกมาจากที่นั่น เขาเชื่อว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้จะต้องเป็นตัวเดียวกันกับที่ชาวบ้านพูดถึง กลับถึงหมู่บ้านอามาดาเที่ยวเล่าถึงสิ่งที่เขาเห็นให้ใครต่อใครฟัง ซึ่งรูปร่างลักษณะของมันตามที่เขาเล่าและจากที่คนพื้่นเมืองวาดรูปให้ดู สัตว์ตัวนี้รูปร่างคล้ายงู แต่ลำตัวใหญ่เหมือนกลืนถังน้ำมันเข้าไป

มาร์คลองถามความเห็นโลเรนโซดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สัตว์ตัวนี้อาจจะเป็นเปลสิโอเสาร์ โลเรนโซไม่ออกความเห็น แต่บอกว่าดินแดนที่ยังไม่มีการสำรวจแห่งนี้กว้างใหญ่เต็มไปด้วยแม่น้ำหนองบึงและป่าพรุที่ยากที่ใครจะฝ่าไปได้ ชาวอินเดียนที่นั่นพูดถึงสัตว์ตัวนี้กันมาหลายชั่วคนแล้ว ทั้งยังพูดถึงเมืองลึกลับและผู้คนแปลก ๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น พูดถึงต้นไม้กินคน และสัตว์ที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย พันเอกฟอว์เซตต์เคยเข้าไปค้นหาเมืองนี้แล้วไม่กลับออกมาอีกเลย ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาพบเมืองลับแลทีว่านี้หรือไม่

มาร์คขอให้อามาดาพาเขากลับไปสำรวจบึงนั้นอีกสักครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับจากอามาดาก็คือ "ผมจะไม่มีวันกลับไปสถานที่เลวร้ายแห่งนั้นอีก"

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขุมทองที่หายสาบสูญของอดัมส์

ขุมทองที่หายสาบสูญของอดัมส์
(LOST ADAMS DIGGINS)

ในช่วงทศวรรษที่ 1860 ช่วงนั้นในแถบอเมริกายังมีการต่อสู้กันระหว่างคนผิวขาวกับชาวพื้นเมืองคือพวกอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ ยุคนั้นมีผู้ออกเดินทางล่าสมบัติกันอยู่มากมาย เช่น พวกที่เดินเรือไปยังเกาะต่าง ๆ
เพื่อแสวงโชค หรือพวกที่ออกเดินทางตามหาขุมทรัพย์และเหมืองแร่ 

มีชายคนหนึ่งทราบเพียงชื่อว่า อดัมส์ (Adams) เดิมทีเขาเป็นเพียงนักเดินทางธรรมดา ๆ คนหนึ่งซึ่งออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังเมืองทูซอน อริโซน่า แต่ระหว่างทางถูกพวกอินเดียนแดงเผ่าอาปาเช่โจมตี เกวียนและสัมภาระต่าง ๆ ก็ถูกเผาทิ้งหมด แต่เขาหนีรอดไปได้พร้อมกับม้าอีกจำนวนหนึ่ง เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปเมืองซาคาตันเพื่อขายม้า ที่เมืองนั้นเขาเจอกับ จอห์น บรูเวอร์ หัวหน้านักขุดทองและคนงานของเขาอีก 12 คน พร้อมทั้งคนนำทางชาวเม็กซิกันพื้นเมือง อดัมส์จึงขอเข้าร่วมในขบวนการขุดทองในฐานะเพื่อน โดยจ่ายค่าเดินทางด้วยม้าของเขา 

พวกเขากำลังจะไปขุดทองกันที่หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งกล่าวกันว่า หุบเขาแห่งนั้นมีหน้าผาที่มีหยดน้ำตาไหลลงมาเป็นทองคำทุกวัน เป็นทองคำที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเหรียญเงิน ผู้นำทางพาพวกเขาเลาะไปตามแม่น้ำไวท์ไปทางตะวันออกมุ่งหน้าสู่ภูเขาไวท์ และเดินทางไปยังภูเขาสองลูก
ผู้นำทางชี้ให้พวกเขาดูว่าที่ ๆ เขาจะต้องไปอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกนั้น แต่เส้นทางที่จะเข้าไปนั้นแคบมากถึงขนาดที่ว่าขี่ม้าผ่านเข้าไปได้แบบเรียงหนึ่งเท่านั้น ชาวพื้นเมืองคนนั้นส่งเพียงถึงทางเข้า รับค่าจ้างและรีบเดินทางกลับไปก่อน พร้อมกับกำชับเหล่านักล่าสมบัติว่าอย่างอยู่ที่นั่นนานนักเพราะพื้นที่แถบนั้นยังคงเป็นดินแดนของชนเผ่าอาปาเช่ ซึ่งก็หมายถึงเป็นพื้นที่ ๆ อันตรายมาก 
เมื่อเดินทางไปถึงจุดหมายปรากฏว่าที่นั่นมีทองเต็มไปหมดจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติโดยแท้ ทุกคนต่างก็ดีใจพากันขุดทองร่อนทองกันเป็นการใหญ่ จนเวลาผ่านไปหลายวันก็ไม่มีท่าทีว่าพวกชนเผ่าอินเดียนแดงจะเดินทางเข้ามายังที่นั่นเลย และไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น

คณะล่าสมบัติก็เพลิดเพลินกับการขุดทอง มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเสบียงอาหารที่เตรียมมาด้วยใกล้จะหมดแล้ว ครั้นจะกลับก็ยังโลภอยู่ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ให้กลุ่มของจอห์น นำคนงานอีก 5 คน ไปหาเสบียงอาหารมาเพิ่ม ส่วนกลุ่มของอดัมส์จะยังคงทำการขุดหาทองต่อไป

เก้าวันต่อมากลุ่มที่ออกไปหาเสบียงอาหารก็ยังไม่กลับมาซักที อาหารก็หมดลง อดัมส์เริ่มกังวลถึงเพื่อนว่าอาจจะพบเหตุร้ายกลางทางจนไม่สามารถกลับมาได้จึงพาคนงานอีกหนึ่งคนออกตามหา เมื่อเขาออกจากหุบเขามาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็พบศพของคน 5 คน นอนตายเกลื่อนอยู่ แต่ไม่พบศพของจอห์น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่อดัมส์ก็มั่นใจว่าชนเผ่าอาปาเช่ได้เข้าเล่นงานแน่แล้ว จึงรีบกลับไปยังที่พัก 

แต่เมื่อกลับไปถึงกลับพบว่าคนที่เหลือก็ถูกฆ่าตายไปหมดแล้วเช่นกัน ที่พักถูกเผาทำลายยับเยิน เขาเองก็ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอด ไม่สามารถขนทองหรือสมบัติใด ๆ ออกมาได้เลย
อดัมส์หนีออกมาจากหุบเขา เดินหลงทางเข้าไปในทะเลทรายที่แห้งแล้งและแทบไม่มีโอกาสรอด แต่โชคยังดีในขณะที่เขาใกล้ตายเต็มที หน่วยลาดตระเวนก็ไปพบเข้าและพาเขากลับมา เขารอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหารย์ และไปตั้งรกรากอยู่ในแคลิฟอร์เนียเป็นเวลานาน 
แต่เขาก็ไม่เคยลืมขุมสมบัติอันน่ามหัศจรรย์นั้นได้เลย เขาจำมันได้อย่างแม่นยำทั้งรายละเอียดในการเดินทาง และที่ตั้งของมัน จำวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ ขณะที่อยู่ที่นั่นได้ดี จนกระทั่งสงครามระหว่างคนขาวกับชนเผ่าอาปาเช่ยุติลงแล้ว อดัมส์ก็พยายามหาทางกลับไปยังภูเขาแห่งนั้นอีก เพื่อไปตามหาหุบเขามหาสมบัติ แต่เป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะหาเท่าไร ก็หาไม่เจอ 

ไม่มีใครรู้จักหรือระบุตำแหน่งของมันได้อีกเลย
ถึงกระนั้นเรื่องราวขุมสมบัติของอดัมส์ก็ทำให้คนจำนวนมากสนใจและพยายามค้นหาเหมืองทองลึกลับนั้นมาตลอดจนถึง
ทุกวันนี้ และมีหลายครั้งหลายหนที่มีข่าวว่าขุมทองนั้นได้ถูกค้นพบแล้ว
แต่ก็ยังไม่มีแหล่งข้อมูลใดระบุได้ว่านั่นคือหุบเขาทองคำที่อดัมส์กล่าวถึงจริง ๆ หรือไม่
เรื่องราวของอดัมส์กับขุมทองของเขาถูกเล่าขานกันจนเป็นเหมือนตำนานมหาสมบัติเรื่องหนึ่ง เป็นต้นกำเนิดของภาพยนต์เกี่ยวกับการล่าสมบัติหลายเรื่องรวมถึงเรื่อง ขุมทองแม็คเคนน่า (Mackenna’s Gold) ด้วย

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสุดดัง อาจจมอยู่ใต้บาดาล

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสุดดัง
อาจจมอยู่ใต้บาดาล

🌏เมื่อภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ไม่ได้ส่งผลแค่หมีขั้วโลกต้องไร้ที่อยู่  สถานที่สำคัญต่าง ๆ ของโลก ก็จะต้องจมน้ำหายไปในไม่ช้านี้แน่ เพราะระดับน้ำทะเลได้เพิ่มสูงขึ้นจากการละลายตัวของน้ำแข็งที่ขั้วโลก

👨‍🏫อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นการประมานการของนักวิชาการทั่วมุมโลก แต่บอกเลยว่า ถ้าหากมนุษย์ยังไม่ช่วยกันประหยัดทรัพยากร และลดกิจกรรมที่เพิ่มอุณภูมิให้โลกแล้วละก็ อย่าว่าแต่สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้เลย พื้นแผ่นดินที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีหวัง หายเรียบ!!อย่าช้า เรารีบไปดู ภาพ 7 สถานที่มหัศจรรย์ของโลก ก่อนที่จะไม่ได้ดูกันดีกว่า…


1.โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์
( Moai Easter Island )
โมอายเป็นรูปปั้นแกะสลักขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายคน ถูกพบอยู่บนเกาะ อิสเตอร์ ประเทศชิลีประมาน 900 ตัว

ซึ่งถูกแกะสลักไว้โดยชาวโพลิเนเชียน
ซึ่งเป็นหลักฐานของการแสดงถึงอารยธรรมจากในอดีต กว่าพันปี
ที่ยังคงอยู่

2.ซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์
(Sydney Opera House)
โรงอุปรากรซิดนีย์ หรือ ซิดนีย์โอเปราเฮาส์ ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซิดนีย์ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย มีสภาพภูมิทัศน์ริมน้ำที่โดดเด่น หันหน้าไปสู่สะพานฮาร์เบอร์ เป็นสถานที่ที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมมายาวนานจนถึงปัจจุบัน

3.ถ้ำช้าง (The Elephanta Caves)
อยู่บนเกาะกลางอ่าวหน้าเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ถ้ำนี้ถูกสร้างโดยมนุษย์เมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน ด้านในถูกสลักด้วยการเล่าเรื่องของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูต่าง ๆ และมีห้องโถงกลางขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระศิวลึงค์

4.มอง แซง มิเชล
(Mont-Saint-Michel)
มหาวิหารบนเกาะกลางทะเล ที่ประเทศฝรั่งเศส หรือเรียกอีกอย่างว่า เนินเขาแห่งเซนต์ไมเคิลถูกสร้างขึ้น
ในสมัยศควรรษที่ 7 

สร้างอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่ปากแม่น้ำ Couesnon มีแม่น้ำสองสายไหลมาเจอกันพอดี หากเมื่อน้ำลด ก็สามารถเดินไปถึงวิหารได้เลย ปัจจุบันมี สะพานข้ามไปยังเกาะได้อย่างสะดวก

5.เลปติส เมกกา(The ruins of
Leptis Magna)
เมืองเลปติส เมกนา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงทริโปลี ประเทศลิเบีย สถานที่แห่งนี้ถือเป็นอาณาจักรโรมัน ที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา
ถูกสร้างด้วยหินปูน จึงทนต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะ คงหลีกหนีการท่วมของระดับน้ำทะเลเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายไม่ได้

6.วิหารสุริยัน (Sun Temple at Konark, India)
วิหารสุริยัน อยู่ที่ประเทศอินเดีย เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างนานถึง 12 ปี ภายในแกะสลักอย่างสวยงาม เล่าเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล เพียงแค่ 7 ฟุต!!
หากแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ละลายเพียงแผ่นเดียว สถานที่แห่งนี้ก็คงจะจมน้ำหายไปแน่นอน

7.เทพีเสรีภาพ
(The Statue of Liberty)
เทพีเสรีภาพ ตั้งเด่นสง่า ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา เป็นประติมากรรมโลหะสำริด ตัวอนุสาวรีย์ภายในมีบันไดวน 162 ขั้น

เมื่อน้ำทะเลขึ้นจะเข้าไปถึงฐานของตัวเทพีเสรีภาพเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นสถานที่นี้คงหนีไม่พ้น เมื่อน้ำทะเลเพิ่มระดับเป็นแน่
Cr. techinsider.io

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เบโลกราดชิค ป้อมปราการโบราณในหุบเขาแห่งบัลแกเรีย 


เบโลกราดชิค ป้อมปราการโบราณ
ในหุบเขาแห่งบัลแกเรีย

ประเทศบัลแกเรีย ไม่ได้มีชื่อเสียงแค่เรื่องโยเกิร์ตเท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงทางด้านแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานเก่าแก่ ดั่งเช่น ป้อมปราการเบโลกราดชิค
(Belogradchik Fortress) 

ตั้งอยู่ที่เมืองวิดิน อยู่บนเนินเขาบอลข่าน เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจในแถบยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ....flickr/Byron Howes
ป้อมปราการเบโลกราดชิค เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางปรวัติศาสตร์ที่สำคัญระดับชาติของบัลแกเรีย สมัยก่อนที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน 

ป้อมนี้ก็สร้างขึ้นเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเมือง เคยผ่านสงครามมาแล้วมานักต่อนัก แต่ยังเป็นซากปรักหักพังที่ยังสมบูรณ์ เพราะได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
   
ป้อมนี้มีกำแพงสูงประมาณ 2 เมตรและมีความหนา แบ่งโซนเฝ้าระวังต่างๆชัดเจน นอกจากตัวป้อมที่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวแล้ว พื้นที่รอบๆโดยเฉพาะเทือกเขาหินรูปร่างแปลก ตั้งอยู่รอบๆป้อม ทำให้เกิดเป็นวิวที่น่าอัศจรรย์ ใจ ดูไกลๆหินมีรูปร่างคล้ายกับประสาทเลย ซึ่งหินบางก้อนอยู่ใกล้กับป้อมจนผสมเป็นหนึ่งเดียวกัน 

เนื่องจากความเก่าแก่ นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนโขดหินให้เยี่ยมชม ทำให้นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาชมโบราณสถานที่มีคุณค่าแห่งนี้อย่างมากมาย
Belogradchik Fortress

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พบอาวุธโบราณทำจากโลหะอายุ 3,000 ปี บนคาบสมุทรอาหรับ


พบอาวุธโบราณทำจากโลหะอายุ 3,000 ปี บนคาบสมุทรอาหรับ
"คณะนักโบราณคดีจากศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศสที่กำลังทำงานอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ในแหล่งขุดค้นมุดห์มาร์ทางตะวันออกใกล้เมืองอดัมในประเทศโอมานเปิดเผยการค้นพบครั้งสำคัญว่า


ในโครงสร้างอาคารที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนานี้ คณะขุดค้นได้พบอาวุธสัมฤทธิ์จำนวนหนึ่งที่กำหนดอายุย้อนไปได้ระหว่าง 900-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ได้แก่ กระบอกศรสองชิ้นทพจากโลหะวัตถุที่หาได้ยากมาก (ปกติทำด้วยหนังสัตว์) พร้อมลูกศร ขวาน กริช(มีดสั้น) หัวลูกศร 50 หัว และคันศรอีก 5 คัน ของทั้งหมดที่พบดูน้อยไปที่จะใช้ในการรบ 


ซึ่งได้รับคำอธิบายจากหัวหน้าโครงการขุดค้นว่าอาจเป็นสิ่งของที่ทำขึ้นเพื่อถวายแด่เทพแห่งสงครามทั้งนี้ภูมิภาคดังกล่าวในคาบสมุทรอาหรับตั้งอยู่บนจุดเชื่อมต่อสำคัญของเส้นทางการค้าโบราณระหว่างทะเลทรายโอมานกับโอเอซิสต่างๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่ได้รับการขุดค้น"

จากกระต่าย 24 ตัวเป็นหมื่นล้านตัว สร้างหายนะในออสเตรเลีย


จุดเริ่มต้นกระต่าย จาก 24 ตัวเป็นหมื่นล้านตัว สร้างหายนะในออสเตรเลีย
ถ้าพูดถึงกระต่าย หลายๆ คนต้องนึกถึงความน่ารักน่าชังของพวกมันอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปรู้บ้างว่า เรื่องราวของกระต่ายที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียนั้น มันมีความน่าสนใจและชวนให้อ้าปากค้างเป็นอย่างมาก

ถึงแม้กระต่ายจะถูกนำเข้ามายังออสเตรเลียในฐานะอาหารตั้งแต่ปี 1788 แต่จุดเริ่มต้นของการแพร่พันธุ์
สุดโหดนี้ ว่ากันว่าเริ่มต้นในปี 1859 เมื่อ โธมัส ออสติน เจ้าของที่ดินในเมืองวินเชลซี รัฐวิคตอเรีย ได้นำกระต่ายป่าจำนวน 24 ตัวจากอังกฤษเข้ามาในออสเตรเลีย และปล่อยพวกมันเข้าสู่ป่าเพื่อใช้เป็นกีฬาล่าสัตว์

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ กระต่าย 24 ตัว
นั้นได้ออกลูกออกหลานต่อมามากมาย จนหลายปีผ่านไป จำนวนกระต่ายบนออสเตรเลียมีเพิ่มมากถึงหลายล้านตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากทำลายต้นไม้ใบหญ้า บนพื้นที่กว่า 5 ล้านไร่ ในรัฐวิคตอเรีย พวกมันก็เริ่มอพยพข้ามรัฐไปยัง เซาท์ ออสเตรเลีย, นิว เซาท์ เวลส์ และ ควีนส์แลนด์ โดยใช้ระยะเวลาอพยพราว 80 ไมล์ต่อปี จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1890 กองทัพกระต่าย ก็ได้ยึดพื้นที่ออสเตรเลียไปครึ่งประเทศเสียแล้ว

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสภาพภมูิประเทศ ซึ่งเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของกระต่าย ทำให้พวกมันกินอยู่อย่างราชา เสพสุข ขยายพันธุ์กันทุกเดือน แถมยังไม่มีนักล่าตามธรรมชาติ ที่จะมาหยุดกระต่ายจำนวนมหาศาลเหล่านี้ได้

หายนะที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ กระต่ายเหล่านี้ก็สร้างปัญหาให้กับระบบนิเวศน์และชาวนาชาวไร่ รวมไปถึงอุตสาหรกรรมปศุสัตว์ พวกมันเข้าไปกัดกินพืชผัก ต้นไม้สายพันธุ์ต่างๆ ไปรบกวนและเบียดเบียนสัตว์อื่น ออสเตรเลียต้องสูญเสียเงินหลายพันล้านเหรียญทั้งทางตรงและทางอ้อม จากกองทัพกระต่ายเหล่านี้

ในช่วงทศวรรษที่ 1920 หรือราวๆ 70 ปีต่อมา มีการคาดการณ์จำนวนประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านตัว หรือตกราวๆ 3,000 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางไมล์ ซึ่งมีการสืบพันธุ์ มีอัตราอยู่ที่ 18-30 ครั้งต่อกระต่ายตัวเมีย 1 ตัว ต่อปี

ในช่วงตลอดหลายทศวรรษ รัฐบาลออสเตรเลียพยายามหาวิธีกำจัดกระต่ายมากมายก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งปี 1950 แฟรงค์ เฟนเนอร์ นักวิจัยในสมัยนั้นได้คิดค้นไวรัส มิกโซมา (Myxoma) ที่สามารถคร่าชีวิตกระต่ายจาก 600 ล้านตัวเหลือเพียง 100 ล้านตัว แต่หลังจากที่พวกมันสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ ก็กลับมาเพิ่มประชากรอีก จนอยู่ราวๆ 200-300 ล้านตัว ในปี 1991

ในปี 1995 ไวรัสตัวใหม่ที่ชื่อ Calicivirus ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกกระต่าย (RHD) โดยไวรัสตัวนี้แตกต่างจากมิกโซมา เพราะใช้แมลงเป็นพาหะ จึงทำให้สามารถแทรกซึมไปในพื้นที่ๆ ยากต่อการเข้าถึงได้ ผลของไวรัสชนิดนี้ ทำให้กระต่ายมีจำนวนลดลงกว่า 90% ในเขตแห้งแล้ง แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดในพื้นที่ๆ หนาวกว่าและมีฝนตกมากกว่า ตามชายฝั่งออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันนี้ กระต่ายเหล่านี้ก็เริ่มสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองขึ้นมาเพื่อสู้กับไวรัสชนิดนี้ได้ และกลับมาขยายพันธุ์อีกครั้ง

ด้วยความสามารถในการแพร่พันธุ์ระดับนี้ จึงทำให้กระต่ายถูกจัดอยู่ในอันดับสัตว์ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์น้อยมาก และถ้าอ่านมาถึงตอนนี้แล้ว คงไม่มีใครอยากจะลองเอากระต่ายป่ามาปล่อยในป่าแถวบ้านแน่นอน

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Agnodike แพทย์หญิงคนแรกของโลก


อักโนไดซ์ แพทย์หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์
ตำนานกล่าวว่า อักโนไดซ์ (Agnodice) หรือ อักโนไดก์ (Agnodike) คือแพทย์หญิงชาวเอเธนส์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่สวมเสื้อผ้าผู้ชายเข้าไปเรียนและฝึกฝนวิชาแพทย์

ในสมัยกรีกโบราณ การที่ผู้หญิงเป็นแพทย์ถือเป็นความผิดร้ายแรง แต่เมื่อชื่อเสียงของเธอโด่งดังและเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ผู้หญิงด้วยการปลอมตัวเป็นชายของเธอ ทำให้แพทย์คนอื่นๆ กล่าวหาว่าเธอยั่วยวนคนไข้ และเรียกร้องให้นำเธอไปประหารชีวิตแต่ท้ายที่สุดเธอก็รอดพ้นจากข้อกล่าวหา

และนับแต่นั้นเป็นต้นมา กฎหมายเอเธนส์ก็อนุญาตให้ผู้หญิ่งสามารถรับการตรวจรักษาโดยแพทย์หญิงในกรุงเอเธนส์ได้บ้างก็ว่าเธอมีตัวตนจริงๆ บ้างก็ว่าเธอเป็นแค่เรื่องสมมติ
จริงเท็จอย่างไรก็ค้นคว้ากันต่อไปครับ

ซึ่งเรื่องผู้หญิงเก่งในประวัติศาสตร์แบบนี้ยังมีอีกเยอะ และส่วนใหญ่ก็โดน "ล่าแม่มด" กันหมด เพราะดันไปแหยมในสังคมชายเป็นใหญ่

รายการบล็อกของฉัน