Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กำเนิด อิลลูมินาติ จากเรื่องแต่งเสียดสีสังคม สู่ทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนหลงเชื่อมากที่สุดในโลก

คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมองว่า สัญลักษณ์บนธนบัตรเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สื่อถึงอิทธิพลของอิลลูมินาติ

เรื่องของสมาคมลับ "อิลลูมินาติ" (Illuminati) ที่เล่าขานกันมาเนิ่นนานนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายทั้งปวงในโลก เพราะนอกจากจะเป็นที่รู้จักและเชื่อถือกันอย่างกว้างขวางแล้ว อิลลูมินาติยังเป็นที่มาและคำอธิบายของปริศนาลึกลับบรรดามีภายใต้ดวงอาทิตย์อีกนับไม่ถ้วน
ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกเชื่อว่า สมาคมลับอิลลูมินาติคือผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลังการเมืองการปกครองของโลก โดยมุ่งดำเนินการในทางลับเพื่อก่อตั้ง "ระเบียบโลกใหม่"

อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนที่จะรู้ว่าทฤษฎีสมคบคิดอันเหลือเชื่อนี้ ถือกำเนิดจากนิยายล้อเลียนเสียดสีสังคมที่แต่งขึ้นในยุคทศวรรษ 1960 โดยมีจุดประสงค์กระตุ้นเตือนให้ผู้คนได้ตระหนักถึงอำนาจควบคุมทางสังคมของกลุ่มชนชั้นนำ แต่ท้ายที่สุด เรื่องเล่าดังกล่าวกลับกลายเป็นที่มาของข่าวปลอมและมายาคติที่ระบาดลุกลามไปทั่วโลก

อิลลูมินาติมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เพียงแค่ในยุคเรืองปัญญา 
(Age of Enlightenment) 
เมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดยมีการก่อตั้งสมาคมลับของเหล่าปัญญาชนขึ้นในแคว้นบาวาเรียของเยอรมนีเมื่อปี 1776 เพื่อต่อต้านอิทธิพลของศาสนาและชนชั้นนำที่เข้าแทรกแซงชีวิตประจำวันของสามัญชนในขณะนั้นแม้จะมีนักคิดหัวก้าวหน้าจำนวนมากเข้าร่วมในขบวนการนี้ แต่ในที่สุดสมาคมลับอย่างอิลลูมินาติและฟรีเมสันก็ค่อย ๆ ถูกกลุ่มอนุรักษ์นิยมและองค์กรทางคริสต์ศาสนาเบียดขับให้กลายเป็นพวกนอกกฎหมาย และสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ภาพยนตร์บางเรื่องเช่น "เทวากับซาตาน" (Angels and Demons) นำเสนอเรื่องราวของอิลลูมินาติจนกลายเป็นกระแสนิยมเรื่องเล่ากำเนิดใหม่ในยุคบุปผาชน

เรื่องราวของอิลลูมินาติที่เราได้ยินกันอยู่ทุกวันนี้ แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสมาคมลับของปัญญาชนในศตวรรษที่ 18 เลยแม้แต่น้อย

👉เดวิด แบรมเวลล์ นักเขียนและนักสื่อสารมวลชนชาวอังกฤษ ซึ่งอุทิศตนสืบค้นที่มาของตำนานอิลลูมินาติบอกว่า อิทธิพลของเหล่าบุปผาชนหรือฮิปปี้ในยุคทศวรรษ 1960 ซึ่งมีความคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมต่อต้าน (counter-culture) 

ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับวัฒนธรรมกระแสหลัก รวมทั้งหลงใหลในปรัชญาตะวันออกและยาเสพติดอย่าง LSD เป็นกลุ่มที่รื้อฟื้นความเชื่อเรื่องสมาคมลับอิลลูมินาติขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีการแต่งเติมเนื้อหาสาระของเรื่องเล่าให้ต่างไปจากเดิมอย่างมาก

กระแสความเชื่อในอิลลูมินาติยุคใหม่ เริ่มต้นขึ้นจากการตีพิมพ์หนังสือเล่มเล็ก ๆ 
ชื่อ Principia Discordia หรือ "หลักการของผู้เห็นต่าง" 

ซึ่งเป็นนิยายที่แต่งล้อเลียนคัมภีร์ศาสนา โดยผู้เขียนที่อ้างว่าเป็นนักคิดนิยมลัทธิอนาธิปไตย ได้ชักชวนให้ผู้อ่านหันมานับถือลัทธิใหม่ของตนและบูชา "อีริส" (Eris) เทพีแห่งความสับสนอลหม่านไร้ระเบียบ
เห็นได้ชัดว่าหนังสือดังกล่าว
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแสวัฒนธรรมต่อต้าน ที่พยายามชักจูงให้ผู้คนตั้งคำถามต่อข้อจำกัดของ "ความจริง" ที่เคยรับรู้กันมา และปลุกเร้าให้กระทำการ "อารยะขัดขืน" ต่ออำนาจครอบงำดั้งเดิม 

โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้พยายามทำให้เรื่องล้อเลียนขบขันและข่าวปลอมปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงในทางปฏิบัติหนังสือ Principia Discordia ได้จุดประกายให้หนึ่งในผู้เขียนคือ เคอร์รี ทอร์นลีย์ ร่วมงานกับโรเบิร์ต วิลสัน นักเขียนของนิตยสารเพลย์บอย ทำการทดลองทางวรรณกรรมเพื่อต่อต้าน "อำนาจครอบงำ" เนื่องจากพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า "โลกในปัจจุบันเป็นเผด็จการมากเกินไป ตึงเกินไป ปิดกั้นมากเกินไป และถูกควบคุมมากเกินไป จึงจำเป็นต้องนำอนาธิปไตยกลับคืนมาสู่สังคมเสียบ้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ"

วีธีที่พวกเขาเลือกใช้คือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข่าวปลอมผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ให้มากที่สุด ทั้งการเผยแพร่ในกลุ่มวัฒนธรรมต่อต้านและในสื่อกระแสหลัก โดยเริ่มจากการเผยแพร่เรื่องของอิลลูมินาติเป็นอันดับแรก

วิลสันและทอร์นลีย์เริ่มเขียน "จดหมายจากผู้อ่าน" ขึ้นมาเองหลายฉบับ และส่งเข้ามาตีพิมพ์ที่กองบรรณาธิการของนิตยสารเพลย์บอย โดยจดหมายปลอมเหล่านี้มีเนื้อหาเล่าถึงองค์กรลับของชนชั้นนำที่เรียกว่าอิลลูมินาติ จนเป็นที่โจษจันกล่าวขานกันในหมู่ผู้อ่านอย่างกว้างขวาง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็เริ่มส่งจดหมายจากผู้อ่านปลอม ที่มีเนื้อหาขัดแย้งกับที่เคยเขียนไปตอนแรกเข้ามาด้วย ซึ่งเดวิด แบรมเวลล์ ผู้ค้นคว้าที่มาของตำนานอิลลูมินาติอธิบายว่า 
"วิลสันและทอร์นลีย์เชื่อในทฤษฎีที่ว่า หากให้ข้อมูลขัดแย้งซึ่งทักท้วงถึงความผิดปกติของเรื่องราวไปมากพอ ผู้คนส่วนใหญ่จะเริ่มฉุกคิดได้เองว่า ข้อมูลที่ได้รับในตอนแรกมีความน่าเชื่อถืออยู่หรือไม่ ซึ่งเท่ากับปลุกเร้าให้สาธารณชน รู้จักตั้งคำถามต่อความจริงทางสังคมที่เชื่อตาม ๆ กันมา แต่น่าเสียดายว่า ผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่พวกเขาตั้งใจไว้"
เจย์ ซี เป็นหนึ่งในบรรดานักร้องแนวฮิปฮอปที่ชูมือทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมของอิลลูมินาติ ระหว่างการแสดงคอนเสิร์ต
เล่าลือกันไปอย่างสับสนอลหม่าน

ทฤษฎีสมคบคิดเรื่องสมาคมลับอิลลูมินาติ ถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้างยิ่งกว่าที่ผู้เขียนต้นเรื่องคาดหมายเอาไว้หลายเท่า ในเวลาต่อมาวิลสันและนักเขียนจากนิตยสารเพลย์บอยอีกคนหนึ่งได้แต่งนิยายไตรภาคเรื่อง The Illuminatus! Trilogy ซึ่งมีเนื้อหาเฉลยปริศนาลึกลับแห่งยุคหลายเรื่อง เช่นใครคือผู้ลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี โดยพวกเขาอ้างว่าอิลลูมินาติคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องราวปิดลับเหล่านี้

หนังสือดังกล่าวขายดิบขายดีและถูกนำไปสร้างเป็นละครเวทียอดนิยมในเมืองลิเวอร์พูลของอังกฤษ ชื่อของวงดนตรีดังหลายวงในยุคนั้นตั้งขึ้นตามตัวละครเด่นในนิยายไตรภาคเรื่องนี้ ทั้งยังมีเกมการ์ดบทบาทสมมติที่ใช้เรื่องราวของอิลลูมินาติออกวางจำหน่ายในปี 1975 อีกด้วย ทำให้คนรุ่นทศวรรษ 1960-1970 ฝังใจจำและเชื่อเรื่องทฤษฎีสมคบคิดนี้ว่าเป็นจริงมาโดยตลอด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำทฤษฎีสมคบคิดหลายเรื่องมาเป็นประเด็นทางการเมืองในเวทีกระแสหลัก

ปัจจุบันเรื่องราวของ
อิลลูมินาติกลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่เล่าลือกันอย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก แม้แต่นักร้องดังอย่างเจย์ ซี และบียอนเซ่ ยังเคยชูมือทำสัญลักษณ์สามเหลี่ยมของอิลลูมินาติระหว่างการแสดงคอนเสิร์ต การมาถึงของยุคสมัยแห่งอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ยิ่งทำให้ตำนานอิลลูมินาติแพร่ออกไปมากขึ้น

โดยเว็บไซต์อย่าง 4chan และ Reddit เป็นสื่อกลางที่ทำให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักเรื่องเล่าเก่าแก่ที่อยู่ยั้งยืนยงมานานหลายสิบปี
อันที่จริงแล้ว โลกของเราทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิดที่เล่าลือกันมากมายหลายเรื่อง และมีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนไม่น้อย โดยการสำรวจทางรัฐศาสตร์ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2015 พบว่าชาวอเมริกันราวครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดกันคนละอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องของอิลลูมินาติ ไปจนถึงความเชื่อที่ว่าอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ปลอมแปลงสัญชาติ และเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน เป็นการจัดฉากของหน่วยข่าวกรองรัฐบาลสหรัฐฯ
ศาสตราจารย์วิเรน สวามี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยแองเกลียรัสกิน (ARU) ของสหราชอาณาจักร แสดงความเห็นว่า "คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีแนวคิดทฤษฎีมากมายที่นำมาใช้อธิบายพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่เรื่องของสาเหตุจากความเจ็บป่วยทางใจ ไปจนถึงการอาศัยเรื่องเล่าสมคบคิดเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่สับสนเข้าใจยาก และเหตุการณ์ที่กระทบต่อการประเมินคุณค่าในตนเอง"

งานวิจัยของ ศ. สวามี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเมื่อปี 2016 ชี้ว่าคนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมีแนวโน้มจะเคยเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤตตึงเครียดมามากกว่าคนที่ไม่เชื่อ ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในปีเดียวกันยังพบว่า คนที่มีการศึกษาสูงกว่ามีแนวโน้มจะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดน้อยกว่า

"สังคมอเมริกันในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง ที่จะส่งเสริมให้ทฤษฎีสมคบคิดแพร่ขยายออกไปและดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ในภูมิภาคเอเชียใต้ทฤษฎีสมคบคิดเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ควบคุมพลเมือง แต่ในโลกตะวันตกนั้นตรงกันข้าม กลุ่มคนที่ไร้อำนาจและไม่มีปากเสียงจะใช้ทฤษฎีสมคบคิดเป็นเครื่องมือประท้วงท้าทายและตั้งคำถามกับรัฐบาล"

ศ. สวามียังชี้ว่า นักการเมืองยุคใหม่หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำเอาทฤษฎีสมคบคิดมาใช้เรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชน โดยเรื่องของอิลลูมินาติที่เป็นสมาคมลับในหมู่ชนชั้นสูงซึ่งใครก็แตะต้องไม่ได้นั้น สอดคล้องกับทัศนคติของกลุ่มคนที่มองว่าตัวเองไร้อำนาจและถูกรัฐทอดทิ้งไม่เหลียวแล ทรัมป์เองก็เคยกล่าวหาเสียงไว้ว่าต้องการจะเป็นตัวแทนที่ต่อสู้เพื่อคนเหล่านี้

👉อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของนักการเมืองดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทางลบในระยะยาว โดยอาจทำให้ผู้คนถอยห่างจากการมีส่วนร่วมในเวทีการเมืองกระแสหลัก และไปให้ความสนใจต่อประเด็นการเมืองชายขอบ ที่ส่งเสริมแนวคิดแบบรุนแรงสุดโต่งหรือเหยียดเชื้อชาติมากขึ้นได้
เดวิด แบรมเวลล์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ในทศวรรษ 1960 สภาพสังคมและวัฒนธรรมค่อนข้างคับแคบ แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอยู่อาจจะเสรีจนดูหละหลวมมากไปหน่อย บางทีกระแสความคิดเห็นต่าง ๆ ในสังคมอาจจะลงรอยและมีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อผู้คนเริ่มต่อต้านข่าวปลอมและการโฆษณาชวนเชื่อกันมากกว่านี้ ปัจจุบันเราเริ่มเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่า โซเชียลมีเดียป้อนข้อมูลบิดเบือนที่เราอยากเชื่อและพร้อมจะเชื่อได้ทุกเมื่ออย่างไร"

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

แบตเตอรี่โบราณ เก่าแก่ที่สุดในโลก

🤖Baghdad Battery แบกแดด แบตเตอรี่ หากย้อนกลับไปกว่า 2,200 ปี คุณเชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์ในยุคนั้นสามารถสร้าง มีแบตเตอรี่ใช้กันแล้ว

👨‍💻รายละเอียด เกี่ยวกับ แบกแดด แบตเตอรี่
แบกแดด แบตเตอรี่ขุดค้นพบที่หมู่บ้าน Khuyut Robbou'a ใกล้เมืองแบกแดด(Baghdad) ประเทศอิรัก
คาดว่าแบตเตอรี่นี้สร้างขึ้นในยุคเมโสโปเตเมีย(Mesopotamia) ในช่วง Parthian หรือ Sassanid

🤖แบตเตอรี่นี้มีลักษณะ เป็นไหดินเหนียว สูงประมาณ 13 เซ็นติเมตร ปากกว้าง 1.25 เซ็นติเมตร
ภายในบรรจุด้วยท่อทองแดง ที่นำแผ่นทองแดงมาม้วน
ภายในท่อทองแดง มีแท่งเหล็กใส่ไว้
ปากไหอุดไว้ด้วยยางมะตอย(Asphalt)
ภายในไหจะใส่อของเหลวที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำส้มสายชู หรือ
น้ำมะนาว,น้ำส้ม
เมื่อของเหลวที่มีความที่เป็นกรด สัมผัสกับ ทองแดง และ เหล็ก จะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น

🤷‍♂️แบกแดดแบตเตอร์รี่ สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ 1.5 - 2 โวลท์
ซึ่งกระแสไฟฟ้าขนาดนี้ไม่มากพอจะใช้ในการขับเคลื่อนอุปกรณ์ หรือเครื่องมือ เครื่องใช้ใดๆได้
แต่แบกแดดแบตเตอรี่มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร?แบกแดดแบตเตอรี่ มีไว้เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์มีไว้ใช้สำหรับ ใช้จี้เพื่อบรรเทาอาการปวด จากโรคเกาท์(Gout Pain)
 
🎯ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับทฤษฎี แบกแดดแบตเตอรี่ใช้ฉาบทอง
บนเครื่องเงิน
🤔แบกแดดแบตเตอรี่ค้นพบโดย ชาวเยอร์มัน(German) นามว่า Wilhelm König ในปี 1938 พร้อมกับ เครื่องเงินชิ้นเล็กๆ ที่มีทองคำฉาบอยู่ที่ผิวหน้าบางๆ ทำให้ König สรุปว่า แบกแดดแบตเตอรี่ใช้ สำหรับ ขบวนการฉาบทองคำลงบนผิวเครื่องเงิน(ขบวนการนี้เรียกว่า Electroplating Gold )
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ได้มีการจำลองแบกแดดแบตเตอรี่ขึ้นมาใหม่ แต่กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นอ่อนเกินกว่าจะทำให้เกิดขบวนการ Electroplating Gold ได้ และเครื่องเงินที่มีทองฉาบอยู่ ที่ König ค้นพบนั้นปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่า เกิดจากขบวนการผลิตที่เรียกว่า fire-gilded
ด้วยตะกั่ว(mercury)

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

หัวใจเกือบวาย สัปเหร่อขุดพบ กล่องไม้ลึกลับ ในหลุมฝังศพ



หัวใจเกือบวาย!! สัปเหร่อขุดพบ "กล่องไม้ลึกลับ" ในหลุมฝังศพ พอเปิดออกดูเท่านั่นแหละ ถึงกับตะลึงตาโต!! นี่มันคือ? แทบเหลือเชื่อผ่านมาหลายร้อยปียังมีสภาพสมบูรณ์

ในปี 1839 สัปเหร่อขุดพบ กล่องไม้ลึกลับที่ถูกฝั่งอยู่ภายในหลุมฝังศพใต้พื้นดินที่วัดแห่งหนึ่ง ในช่วงยุคกลางของประเทศอังกฤษ ซึ่งภายในกล่องมี "ผมเปียลึกลับ" ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์  โดยมีความเชื่อกันว่า น่าจะเป็นผมเปียของ "Elfaeda" ลูกสาวของกษัตริย์ "เอ็ดเวิร์ด" ผู้ก่อตั้งวัดในประวัติศาสตร์ที่ใช้เพื่อชุมนุมทางศาสนา

นักวิจัยเผยว่า เจ้าของผมเปียลึกลับดังกล่าว น่าจะเสียชีวิต
ระหว่างคริสตศักราชที่ 
965-1045 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ "Elfaeda" ใช้ชีวิตเป็นแม่ชีและยังมีชีวิตอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจระบุแน่ชัดได้ว่า ผมเปียลึกลับดังกล่าวจะเป็นของแม่ชี ทั้งนี้เป็นเพียงการณ์คาดเดาเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ชัดเจนเลยคือแม้ว่า ผมเปียลึกลับดังกล่าว จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วมันกลับยังคงสภาพสมบูรณ์แบบอย่างมาก

นักวิทย์มุ่งไขความลับจีโอดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดเกิดขึ้นตอนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหายไป

Geode
เมื่อเราพูดถึงผลึกแร่ที่เป็นโพรงภายใน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จีโอด” (Geode) ตามปกติคนที่รู้จักผลึกแร่เหล่านี้ก็คงจะนึกถึงหินทรงมนกลวงๆ ที่มีคริสตัลอยู่ภายใน และมีขนาดไม่เกินฝ่ามือของเราขึ้นมาเป็นอย่างแรก
แต่ลึกเข้าไปในเหมืองแร่ที่ถูกทิ้งของประเทศสเปน เราจะสามารถพบกับจีโอดที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่ออย่าง “The Pulpí Geode” ซึ่งมีขนาดความจุมากถึง 11 ลูกบาศก์เมตร เรียกได้ว่าสามารถจุคนในครอบครัวใหญ่ๆ ได้ทั้งครอบครัวเลย

แน่นอนว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตขนาดนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผู้คนจะให้ความสนใจใน The Pulpí เป็นอย่างมาก และก็มีหลายคนไม่น้อยเลยที่สนใจอยากทราบที่มาของจีโอดยักษ์อันนี้

“โดยทั่วไปแล้วมัน (จีโอด) จะถูกอธิบายว่าเป็นโพรงรูปไข่ภายในหินที่เรียงรายไปด้วยคริสตัล” คุณ Juan Manuel García-Ruiz นักธรณีวิทยาที่สภาวิจัยแห่งชาติสเปนกล่าว

คริสตัลเหล่านี้โดยมากแล้วจะสามารถเกิดขึ้นจากการที่น้ำไหลผ่านรูเล็กๆ ในพื้นผิวของหิน พัดเอาเศษแร่ไปติดตามขอบโพรงหินดังกล่าวจนเกิดเป็นอเมทิส ควอทซ์ หรือแร่อื่นๆ จากการทับถมตลอดช่วงเวลาพันหรือล้านปี

อย่างไรก็ตามคำอธิบายในจุดนี้จะใช้ได้แค่ในกรณีที่จีโอดมีขนาดไม่ใหญ่มากเท่านั้น เพราะในกรณีของ The Pulpí ตัวโพรงของมันนั้นใหญ่โตเกินกว่าที่จะเกิดจากน้ำไหลผ่านรูเล็กๆ ในพื้นผิวของหินธรรมดาๆ เป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เองปริศนาต้นกำเนิดของ The Pulpí จึงเป็นอะไรที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยมีโอกาสได้ทำความเข้าใจอย่างจริงจังเลยตั้งแต่ในตอนที่มีการค้นพบ จีโอดยักษ์อันนี้ในปี 2000 จนกระทั่งเมื่อที่คุณ García-Ruiz และเพื่อนๆ ตัดสินใจที่จะหาความจริงของมัน

เขาระบุไว้ในงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ไปในวารสาร Geology เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ว่าเสาคริสตัลของ The Pulpí เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากยิปซัม ซึ่งตามปกติจะเกิดจากน้ำและแคลเซียมซัลเฟต แต่ตัวเหมืองที่พวกเขาพบกับจีโอดเป็นเหมืองที่แห้ง ดังนั้นเจ้า The Pulpí จึงเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานมากๆ แล้ว
น่าเสียดายที่เดือยยิปซั่มของตัวจีโอดนั้นมีความบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งทำให้ฃการวัดอายุด้วยไอโซโทปยูเรเนียม ซึ่งตามปกติให้วัดอายุแร่หินไม่สามารถทำได้อย่างที่ควร บังคับให้นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้วิธีหาอายุที่ทำได้ยากกว่าอย่างการวัดอายุแร่อื่นๆ ในเหมือง เพื่อเปรียบเทียบหาช่วงเวลาที่แคลเซียมซัลเฟตเกิดขึ้นแทน

พวกเขาพบว่าคริสตัลของ The Pulpí น่าจะมีอายุอย่างต่ำๆ 60,000 ปี และเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาราวๆ 2 ล้านปีก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่าตัวแคลเซียมซัลเฟตที่ทำให้เกิดคริสตัลเองก็น่าจะต้องมีอายุมากกว่านั้นอีก
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลากับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า The Pulpí นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใหญ่อย่างการที่น้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหายไปจนเกือบหมดเมื่อ 5.5 ล้านปีก่อนเลยนั่นเอง
Geode

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

แอนนา แอนเดอร์สัน สาวที่โกหกคนทั้งโลก ว่าเธอคือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ

เรื่องราวของ แอนนา แอนเดอร์สัน สาวที่โกหกคนทั้งโลก ว่าเธอคือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ มาติดตามกันว่า เธอโกหกเรื่องเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ได้อย่างไร? แล้วอะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเธอคือเจ้าหญิงกำมะลอ มาหาคำตอบพร้อมๆ กัน

ประวัติเจ้าหญิงอนาสตาเซีย
เจ้าหญิงอนาสตาเซีย (ตัวจริง)มาเริ่มทำความรู้จักประวัติ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย หรือ แกรนด์ดัชเชส อนาสตาเซียแห่งรัสเซีย (Grand.Duchess.Anastasia.Nikolaevna of Russia) มีพระนามเต็มว่า อนาสตาเซีย นิโคลาเยฟนา โรมาโนวา เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 4 ในจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และพระนางอเล็กซานดรา แห่งราชวงศ์โรมานอฟ แห่งรัสเซีย

จุดเริ่มต้นที่มา ของแอนนา แอนเดอร์สัน

แอนนา แอนเดอร์สัน
หลังการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียที่ปกครองมายาวนานกว่า 300 ปี  โศกนาฏกรรมของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 และสมาชิกเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด รวมถึงเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ถูกจองจำก่อนจะถูกปลงพระชนม์ด้วยการยิงเป้า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่พบร่างของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ในขณะเดียวกันมีการพบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่กำลังพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ได้รับการช่วยเหลือจากพลเมืองดีคนหนึ่งซะก่อน ซึ่งเมื่อช่วยสำเร็จ จึงได้สอบถามข้อมูลต่างๆ แต่หญิงสาวคนนั้นกลับไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร จนมีหลายคนเริ่มทักว่าเธอมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์โรมานอฟ จู่ๆ เธอจึงยอมรับว่า “ฉันคือเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ผู้รอดตาย”
จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย
และสมาชิกเชื้อพระวงศ์

การโกหกคนทั้งโลก
เจ้าหญิงอนาสตาเซีย (ซ้าย) 
แอนนา แอนเดอร์สัน (ขวา)
แอนนา หรือที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย เธอเล่าให้ผู้คนฟังว่า เธอถูกสังหารพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องจริง แต่ที่รอดมาได้นั้น เป็นเพราะกระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ จึงทำให้เธอแค่สลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้พบกับทหารหนุ่มนายหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มบอลเชวิค เขาสงสารเธอจึงแอบดูแลเธออย่างลับๆ และใช้ชีวิตด้วยกันจนมีลูกชายหนึ่งคน เธอได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ  แอนนา ไชคอฟสกี้แต่หลังจากนั้นสามีของเธอก็ได้เสียชีวิตในสงคราม เธอตัดสินใจทิ้งลูกไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และคิดที่จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

แอนนาโป๊ะแตก!
สิ่งที่ทำให้การโกหกของแอนนาต้องชะงัก คือเรื่องที่จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย สมัยยังทรงครองราชย์ ได้ฝากเงินก้อนโตไว้ในธนาคารนอกประเทศ โดยเป็นเงินมากถึง 20 ล้านรูเบิลส์ ซึ่งถ้าแอนนาสามารถพิสูจน์ต่อศาลได้ว่า เธอคือองค์หญิงผู้รอดตายจริงๆ เธอจะได้รับเงินส่วนนี้ไปครอบครอง เรื่องนี้ทำให้เจ้าชายเออเนสต์ หลุยส์ แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์ ที่ทรงเป็นพระปิตุลาแท้ๆ ของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ได้จ้างนักสืบฝีมือดี ให้ตามสืบเรื่องของหญิงสาวผู้แอบอ้างรายนี้ ว่าจริงๆ แล้วหญิงสาวผู้นี้คือใคร เพราะหน้าไม่เหมือนกับหลานของตน

ที่แท้แอนนา มีชื่อจริงๆ ว่า
ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า
นักสืบ สามารถสืบจนทราบว่า ชื่อจริงของเธอก็คือ ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งในโรงงานอุตสาหกรรม หญิงสาวรายนี้ได้หายตัวไปในวันเดียวกับ วันที่มีคนช่วยเธอจากการกระโดดน้ำ จากหลักฐานนี้ทำให้เธอไม่มีสิทธิ์ในเงินจำนวนนี้
แต่เมื่อเรื่องราวของเธอได้รับความสนใจน้อยลง เธอจึงย้ายจากไปอยู่ที่อเมริกา และเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เป็น “แอนเดอร์สัน” แถมได้แต่งงานใหม่กับชายวัยกลางคนชาวอเมริกันคนหนึ่ง แต่แล้วสุขภาพของเธอย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายเธอได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 อายุ 87 ปี จากโรคปอดบวม

สิ่งที่พิสูจน์แอนนาเป็นเจ้าหญิงกำมะลอ
เหมือนเรื่องราวจะจบหลังแอนนาจากไป แต่ทางการก็ได้ออกค้นหากระดูกของราชวงศ์โรมานอฟ เพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ ในเดือนมกราคม 2008 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้พบซากศพตอตะโกสองร่าง เป็นร่างเด็กชายหนึ่ง และเด็กหญิงอีกหนึ่ง พร้อมยืนยันว่า ร่างทั้งสองนั้นเป็นพระศพพระโอรส
(อะเลกเซย์ นีโคลาเยวิช) และพระธิดาที่เคยค้นหากันไม่เจอ

จึงทำให้ต้องมีการพิสูจน์ว่า แล้ว แอนนา แอนเดอร์สัน เธอคือใคร?  นักวิทยาศาตร์จึงได้นำปอยผมที่สามีของแอนนาได้เก็บเอาไว้ มาเปรียบเทียบกับ DNA ของโครงกระดูกที่พบ ผลพิสูจน์ออกมาว่า DNA ของแอนนาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์เลย แต่ดันไปตรงกับหญิงสาว ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า ที่ได้หายตัวไปนั่นเอง!

เรื่องราวของ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Anastasia(1956) อีกด้วย

ปริศนาเรือโนอาห์ Noah Ark


ตำนานเรื่องเล่าขาน ปริศนาเรือโนอาห์
ในพระคัมภีร์ของสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางอันได้แก่ ศาสนา จูเดอิซึ่ม คริสต์ อิสลาม ได้ปรากฏเรื่องราวของเหตุการณ์อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชื่อของ โนอาห์ ( Noah) ยังคงถูกจารึกและเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้เรื่องราวนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับชนรุ่นหลังว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงเช่นนั้นจริงหรือไม่? เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใด

ตำนานเรื่องเล่าขาน ปริศนาเรือโนอาห์
ดร. โรเบิร์ต บัลลาร์ด ( Dr. Robert Ballard ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจใต้ท้องทะเล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ โดยการค้นพบซาก เรือไททานิค (Titanic) ที่จมสงบนิ่งอยู่ ณ พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean)ได้เดินทางมายัง ทะเลดำ (Black Sea) ตามคำเชิญชวนอันแสนเย้ายวนใจของผืนน้ำที่ได้ซุกซ่อนความลับเอาไว้อย่างมากมาย

การเดินทางของ ดร. บัลลาร์ด เริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะค้นพบซากเรือไม้โบราณที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่อย่างสมบูรณ์ภายใต้น้ำทะเลที่เป็นพิษด้วยไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ ปลวกแห่งทะเล จอมทำลายเนื้อไม้ซึ่งจะกัดกินทุกอย่างที่เป็นสิ่งชีวภาพ  แรงปรารถนาของ ดร. บัลลาร์ด ได้ถูกจุดประกายโดยหนังสือของนักสมุทรศาสตร์ที่มีนามว่า วิลลาร์ด บาสคอม (Willard Bascom) ซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบอันสุดแสนพิเศษของ ทะเลดำ ไว้ในหนังสือเล่มนั้น

แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่นาน ความสนใจของ ดร. บัลลาร์ด ก็ถูกหันเหไปโดยหนังสือของสองนักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ ที่มีนามว่า วิลเลี่ยม ไรอัน และวอลเตอร์ พิทแมน ซึ่งได้นำเสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของทะเลดำแห่งนี้
ปริศนาเรือโนอาห์
ทฤษฎีจุดกำเนิดของทะเลดำ ว่า
– ทะเลดำ แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

– ซึ่งผู้ที่รอดชีวิตก็ได้บอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้นสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

– ซึ่งก็คือเรื่องราวของ โนอาห์ และเรือของเขา

ไรอัน และ พิทแมน ได้สันนิษฐานถึง การเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคน้ำแข็งสุดท้าย เมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน พวกเขาได้ค้นพบตำนานที่มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโนอาห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในตะวันออกกลาง ก่อนที่เรื่องของโนอาห์จะถูกบันทึกไว้เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล

ก่อนหน้าการบันทึกตำนานเรื่องโนอาห์ราว 1 พันปี ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ได้บันทึกมหากาพย์เรื่อง กิลกาเมช (Gilgamesh) และมีการบรรยายถึงอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในเรื่อง กิลกาเมช ได้พบกับผู้รอดชีวิตจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ได้รับคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะมีน้ำท่วมเกิดขึ้น, จงเร่งสร้างเรือ, ให้นำครอบครัว และฝูงสัตว์มาไว้ที่เรือ และอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยฝนและลมพายุ ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นผู้รอดชีวิต อันได้แก่ ครอบครัว และเรือของเขา รวมถึงเหล่าสรรพสัตว์ที่ได้โดยสารมาบนเรือด้วย
ปริศนาเรือโนอาห์
เราจะเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องราวของ กิลกาเมช และ โนอาห์ ซึ่งต่างก็กล่าวถึงชายที่ถูกสั่งให้สร้างเรือขนาดใหญ่ และนำสัตว์ขึ้นไปไว้บนเรือ, อุทกภัยที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงน้ำท่วมที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องของการปล่อยนกพิราบ สิ่งนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้ ไรอัน และ พิทแมน ให้ความสนใจกับทะเลในแถบตะวันออกกลาง โดยครั้งนี้ได้พุ่งเป้ามาที่ ทะเลดำ

ไรอัน และ พิทแมน เคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ในปีคริสตศักราช 1993 ในการเดินทางไปตรวจสอบทะเลดำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขา ได้พบสิ่งที่ยืนยันว่า ทะเลดำซึ่งแต่เดิมเป็น ทะเลสาบน้ำจืด ที่มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน ซึ่งในยุคน้ำแข็งสุดท้าย แผ่นดินนั้นอุ่นขึ้น จึงทำให้ทะเลสาบเหือดแห้งลงไป และได้ทิ้งคราบไว้ นั่นก็คือ การพบคราบดังกล่าวที่ความลึกลงไป 90 เมตร, 110 เมตร และลึกที่สุดอยู่ที่ 156 เมตร ใต้ท้องทะเลดำ
ปริศนาเรือโนอาห์
นอกจากนี้ เขายังพบหลักฐานการปรากฏตัวของสัตว์น้ำเค็ม ในที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดอีกด้วย ผลจากการพิสูจน์นั้นแสดงออกมาว่า หอยน้ำเค็ม ล้วนแต่ปรากฏตัวขึ้นทุกระดับความลึกของทะเลดำ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือเมื่อ 7,600 ปีก่อนจากทฤษฎีของ ไรอัน และ พิทแมน ก็ทำให้ภารกิจของ ดร. บัลลาร์ด ณ ทะเลดำแห่งนี้มีถึง 2 ภารกิจด้วยกันนั่นก็คือการค้นหาหลักฐานของการที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และการค้นหาซากเรือโบราณ

เขาเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวชายฝั่งเก่าแก่ ด้วยการใช้โซน่าร์กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยมีเป้าหมายในการค้นหารูปแบบของสิ่งก่อสร้าง โครงสร้าง หรือรั้ว และอื่นๆ ที่จะดึงดูดให้เข้าไปค้นหาเพิ่มเติม

แล้วเขาก็ได้รับสัญญาณเสียงสะท้อนโซนิก ตรวจพบวัตถุที่ก้นทะเล เขาจึงตัดสินใจหย่อน อาร์กัส (Argus) ซึ่งเป็นกล้องเคลื่อนที่ลงไป และ ดร. บัลลาร์ด พร้อมทั้งทีมงานก็ได้เห็นชิ้นส่วนของไม้ที่อยู่ลึกลงไป 100-155 เมตร พร้อมทั้งซากของสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะที่พักอาศัยฝีมือมนุษย์

ดร. บัลลาร์ด ไม่ได้คาดหวังที่จะพิสูจน์เรื่องราวในพระคัมภีร์ หากแต่ว่าเขากำลังตามรอยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทว่า ถ้าเขาสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้คนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะถูกน้ำท่วม สิ่งนี้ก็จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขา
ปริศนาเรือโนอาห์
หลังจากการส่ง อาร์กัส ลงสู่พื้นทะเลแล้ว ดร. บัลลาร์ด ตัดสินใจส่งยานดำน้ำที่ไม่มีคนบังคับชื่อ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ( Little Herc )  ลงไปเพื่อถ่ายภาพที่มีความคมชัดเป็นพิเศษและก็อาจจะเก็บตัวอย่างดินมาได้ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากการถ่ายทอดของ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ก็ได้เผยให้เห็นถึงรายละเอียดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ จากนั้นก็ได้เก็บเอาดินขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทางด้านโบราณคดี รวมทั้งซากชิ้นส่วนไม้ที่พบด้วย และความพยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ เพราะผลจากการตรวจสอบดินนั้น ยืนยันแนวคิดที่ว่า เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนไม้นั้นจะเป็นของในยุคใหม่อายุราว 200 ปีก่อน

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Neuschwanstein ปราสาทเทพนิยาย นอยชวานสไตน์

Neuschwanstein
ปราสาทเทพนิยาย นอยชวานสไตน์
ปราสาทนอยชวานสไตน์สร้างขึ้นบนยอดเขาลูกนึง ที่รายล้อมด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบด้านล่าง จุดประสงค์ของการสร้างปราสาทนี้เพื่อให้ผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติอันงดงามรอบด้าน

ปกติการสร้างปราสาทจะต้องมีสวนที่สวยงามเป็นบริเวณกว้าง มีการสร้างบ่อน้ำพุในสวน แต่นอยชวานสไตน์ไม่จำเป็นต้องมีสวน เพราะมีธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์รายล้อมอยู่แล้ว ไม่ต้องมีน้ำพุเพราะมีน้ำตกทางธรรมชาติอยู่ใกล้ ๆ
ปราสาทนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย (มีพระชนม์ชีพระหว่าง 25 สิงหาคม
พ.ศ. 2388 – 13 มิถุนายน พ.ศ. 2429) ในสมัยนั้นเยอรมันยังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศอย่างในปัจจุบัน แคว้นเล็กๆต่างปกครองกันเอง มีกษัตริย์ของตัวเอง

กษัตริย์ลุดวิกทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 18 ชันษา เป็นกษัตริย์อารมณ์ศิลป์ สนใจศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม มากกว่าจะสนใจปกครองบ้านเมือง ทรงนิยมสร้างปราสาท หลงไหลในตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเทพของเยอรมันและพวกไวกิ้ง และชื่นชอบอุปรากรของริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) เป็นชีวิตจิตใจ จนพวกขุนนางทนไม่ไหว
Neuschwanstein
ตั้งข้อหาสติวิปลาส  แล้วปลดพระองค์ลงจากตำแหน่ง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนพบพระศพจมน้ำตายอย่างปริศนา

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ประตูหินโบราณ ลึกลับ 400 ชิ้นในทะเลทรายซาอุฯ

ตะลึง!! พบ “ประตูหินโบราณ” ลึกลับ 400 ชิ้นในทะเลทราย
ซาอุ
นักโบราณคดีได้ค้นพบโครงสร้างหินลึกลับ ที่มีอายุย้อนหลังไปหลายพันปีในทะเลทรายอาหรับ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นโดยชนเผ่าเร่ร่อน

อาหรับนิวส์รายงานว่า โครงสร้างซึ่งประกอบจากหินเกือบ 400 ชิ้น ถูกตั้งชื่อเรียกว่า “ประตู” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับสนามประตูเมื่อมองจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยล้อมรอบบริเวณภูเขาไฟฮาร์ราต คัยบาร์
(Harrat Khaybar ) ในซาอุดิอาระเบีย

นักวิจัยยังงงงวยว่า โครงสร้างเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออะไร และใครเป็นคนสร้าง หรือถ้าเป็น
“ผลงานของมนุษย์โบราณ”
ที่เก่าแก่ ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับโบราณสถานที่แผ่ออกจากซีเรียไปยังประเทศซาอุดิอารเบีย
ดร.เดวิด เคนเนดี้ ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย ระบุในบทความจากเดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า “เรามักจะคิดว่าซาอุดิอาระเบียเป็นทะเลทราย แต่ในทางปฏิบัติมีสมบัติทางโบราณคดีขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น และต้องมีการพิสูจน์ทราบและทำแผนที่”

“คุณไม่สามารถมองเห็นมันได้ชัดจากระดับพื้นดิน แต่เมื่อคุณขึ้นที่สูงไม่กี่ร้อยฟุต หรือมีดาวเทียมที่สามารถเห็นจากมุมสูง พวกมันก็ปรากฏให้เห็นอย่างโดดเด่น”

บทความที่ดร. เคนเนดี้เขียนนี้จะเผยแพร่ในฉบับเดือนพฤศจิกายนของวารสาร Arabian Archeology and Epigraphy
ดร. เคนเนดี้กำลังศึกษาโครงสร้างเชิงมุมและวงรอบเหมือนล้อ
ที่กระจัดกระจายอยู่เหนือ
ทุ่งลาวาของจอร์แดนหรือ
ฮาราต (harrat) ตั้งแต่ปี 1997 (พ.ศ.2540) แต่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้โครงสร้างโบราณสถานในประเทศเพื่อนบ้านของซาอุดีอาระเบียเนื่องจากข้อจำกัดการเข้าถึง

“เราน่าจะได้บินข้ามเข้าไปในประเทศซาอุดีอาระเบียเพื่อถ่ายภาพ แต่ไม่เคยรับอนุญาต “ดร. เคนเนดี้กล่าวและ
“ภาพเหล่านี้ได้มาจากกูเกิลเอิร์ท(Google Earth)”

ความลึกลับของโครงสร้างหินเริ่มขึ้นในปี 2004 (พ.ศ.2547) เมื่อดร.อับดุลลาห์ อัลซาอีด นักประสาทวิทยาและผู้ก่อตั้งทีมทะเลทราย (Desert Team) กลุ่มนักโบราณคดีสมัครเล่นในซาอุดิอาระเบียที่ได้สำรวจเขตลาวาของฮาร์ราต คัยบาร์ เขาได้พบเห็นกำแพงหินสูงประมาณสามฟุต แต่เขาบอกว่า เขายังไม่ได้เห็นคุณค่าการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกมันในเวลานั้น

จากนั้นกระบวนการศึกษาค้นคว้าได้หยุดพักจนมาในปี 2008
(พ. ศ.2551) เมื่อดร. อัลซาอีดเดินทางกลับไปยังจุดเดิมโดยใช้กูเกิลเอิร์ท (Google Earth)
“เมื่อผมได้เห็นภาพล่าสุดของฮาร์ราต คัยบาร์ จากกูเกิ้ลเอิร์ท ผมรู้สึกทึ่งและไม่สามารถนอนหลับในคืนนั้นได้” ดร. อัลซาอีดกล่าวและว่า “บินไปเหมือนนกโฉบไปทั่วภูเขาจากโครงสร้างลึกลับอันหนึ่งไปอีกอันหนึ่ง! เราผ่านเลยโครงสร้างเหล่านี้ได้อย่างไรโดยไม่เห็นคุณค่าการออกแบบของพวกเขา?”

การตรวจสอบเพิ่มเติมและภาพจากกูเกิลบางส่วนที่ส่งไปยังนักโบราณคดีเช่น ดร. เคนเนดี้ ได้รับการตอบรับที่สร้างความงงงวย

“งุนงงแน่นอน” นั่นคือความรู้สึกที่ดร.เคนเนดี้กล่าวเมื่อได้เห็นภาพดาวเทียมเป็นครั้งแรก เนื่องจากพบกับโครงสร้างที่แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน

ขนาดที่ไม่เท่ากัน ประตูที่ยาวที่สุดมีระยะทางมากกว่าครึ่งกิโลเมตร ขณะที่ระยะสั้นที่สุดคือ 13 เมตร และระยะห่างระหว่างพวกมันต่างกันเป็นไมล์
ดร. เคนเนดีใช้เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษในการจัดทำรายการที่มีเกือบ 400 ประตู และหวังว่าขั้นตอนต่อไปของเขาคือการนำทีมวิจัยเข้าไปรวบรวมตัวอย่างเพื่อคาร์บอนอายุทุ่งลาวาแห่งนี้ และแม้แต่กำแพงหินเพื่อทราบอายุการก่อสร้างของพวกมัน

“จะพบว่ามีผู้คนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในการสำรวจภูมิทัศน์จากภาพถ่ายจากดาวเทียม” เขากล่าว

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2562

วิหารโบราณอิสราเอลกับเอธิโอเปียโบราณ Ancient Ethiopia & Israel

วิหารโบราณอิสราเอลกับเอธิโอเปียโบราณ
Ancient Ethiopia & Israel
จากหนังสือโบราณของอิสราเอลคือไบเบิลและตำราเก่าแก่ Kebra Negast ของเอธิโอเปีย เรื่องราวของอารยธรรมโบราณที่มีเทคโนโลยีสูงส่ง ซึ่งเคยตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว แม้ปัจจุบันเองก็ตาม ถ้ารื้อวิหารของยิวหรือมุสลิมออกดู (ชวนโดนฆ่าไหมเนี่ย คำพูดมัน)
เราก็จะเห็นว่า วิหารหลายแห่งได้สร้างทับของเดิมในลักษณะของการต่อยอดเยอะแยะไปหมดเลย ขนาดของวิหารเหล่านั้นพอๆ กะบาลเบ็คในเลบานอนเลยทีเดียว
นักโบราณคดีหลายคนให้ข้อสังเกตว่า อารยธรรมบริเวณนี้อาจมีต้นตอเดียวกับอาณาจักรโอสิเรียนซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันก็เป็นได้
และว่ากันว่ามีวิหารขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการเก็บหีบอาร์ค Ark of the Covenant ในตำนานนั่นเอง ว่ากันว่าคิงโซโลมอนทรงลงมือควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หีบดังกล่าวคืออุปกรณ์สื่อสารที่ชาวยิวโบราณใช้ติดต่อกับพระเจ้า (โมเสสคือหนึ่งในจำนวน User ของระบบสื่อสารโบราณดังกล่าวนี้)

จากคำบรรยายในคัมภีร์ หีบอาร์คมีลักษณะเหมือนเครื่องส่งวิทยุกำลังสูงที่มีขนาดใหญ่ ไม่แน่นะเมื่อหลายพันปีก่อน อาจมีโบราณสถานซักแห่งในเอธิโอเปียที่ติดตั้งเครื่องส่งขนาดมหึมา และมีหีบอาร์คต่ออยู่ในลักษณะของเทอร์มินัลนับเป็นร้อยๆเครื่องก็ได้
ทำนองเดียวกับในวิหารของชาวอินคาที่มีท่อส่งสายสัญญาณอิเล็คทรอนิกส์ แต่นักโบราณคดีรุ่นก่อนๆไปสรุปว่ามันคือรางน้ำ แต่เรื่องจริงๆ แล้วมันคงต้องมีอะไรลึกลับแน่ๆ
Ancient Ethiopia & Israel

รายการบล็อกของฉัน