Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ผีเสื้อกลางคืนสปีชีส์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ


🌺ผีเสื้อกลางคืนสปีชีส์ใหม่
ที่เพิ่งค้นพบใหม่บนอีเบย์
👉อีเบย์ แหล่งประมูลสินค้าออนไลน์ที่มีสารพัดสรรพสิ่งตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ และล่าสุดมีของแปลกใหม่เข้าประมูล นั่นคือ “สิทธิ์” ในการตั้งชื่อ ผีเสื้อกลางคืนสปีชีส์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ

ปกติผู้ที่ได้รับเกียรติที่จะมีชื่อเป็นผู้ค้นพบสัตว์หรือแมลงใดๆนั้นจะเป็นสิทธิ์ของตัวผู้ค้นพบเอง อย่างไรก็ตาม
👉นักกีฏะวิทยา Eric H. Metzler จาก  Wedge Entomological Foundation ได้ตัดสินใจนำสิทธิ์ในการตั้งชื่อแมลงชนิดใหม่ที่เค้าเป็นผู้ค้นพบลงประมูลในอีเบย์ ผ่านการอนุญาตจากสมาคม  Western National ผู้ให้ทุนวิจัย

Metzler พบผีเสื้อกลางคืนชนิดนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้วที่ White Sands National Monument ในนิวเม็กซิโกตัวมันเล็กกว่า 1 นิ้วและน้ำหนักน้อยกว่า 1 ออนซ์
การประมูลเริมไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและจะปิดประมูลในวันศุกร์ที่ 23 ต.ค. นี้ และ
ในขณะที่เขียนบทความนี้
ราคาพุ่งไปที่ 427,970.15 บาทจากผู้เข้าร่วมประมูล 49 ท่าน
ผู้ชนะจะได้รับสิทธิ์ในการ
ตั้งชื่อผีเสื้อกลางคืนนี้โดยผ่านทางความช่วยเหลือของ Metzler ซึ่งเคยค้นพบผีเสื้อกลางคืนอื่นมาถึง 600 ชนิดแล้ว แต่นี่เป็นชนิดแรกที่เค้านำสิทธิ์การต้งชื่อมาให้ผู้อื่น

และก็ไม่ใช่อยากตั้งชื่ออะไรก็ได้ ชื่อแมลงต้องเป็นไปตามกฏของ ICZN ซึ่งเป็นหน่วยงานระหว่างประเทศที่ดูแลเรื่องชื่อของสัตว์ต่างๆไม่เฉพาะแมลงที่มีการค้นพบใหม่ๆจากทั่วโลก
(ย่อมาจาก International Code of Zoological Nomenclature)

ก็นับเป็นเรื่องแปลกดี ที่แม้สิทธิ์ในการตั้งชื่อก็ยังเอามาเปลี่ยนเป็นเงินได้

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มหัศจรรย์วีนัสแมวสุดแปลกที่มี 2 ใบหน้าในหน้าเดียว



มหัศจรรย์ชวนงง ‘วีนัส’ เจ้าแมวเหมียวสุดแปลกที่มี 2 ใบหน้าในหน้าเดียว

แมวเป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์เพราะนอกจากจะเรียกรวมๆว่าแมวแล้ว
แมวยังมีอีกหลายชนิดประเภทที่ยังไม่รู้จักอีกเยอะแต่คงแปลกหากแมวตัวเดียวมี 2 ใบหน้าที่แตกต่างกัน…ในหน้าเดียว ?

ลองไปทำความรู้จักกับ ”วีนัส” แมวที่มีความแปลกแต่แอบน่ารัก

วีนัส คือเจ้าเหมียวเซเลบที่กำลังมีผู้ติดตามบนเฟซบุ๊คมากกว่า 1 ล้านคน

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความแปลกบนใบหน้าของมันหลายคนที่พบเห็นวีนัส ต่างเรียกมันว่า ”แมว 2 หน้า”

จุดเด่นของมันคือใบหน้าที่ถูกแบ่งเป็นสีดำและสีส้มอย่างครึ่งหน้าพอดีเป๊ะ

ด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็น
สีส้มที่แปลกไปว่านั้นคือดวงตาของวีนัสก็แบ่งออกเป็น 2 สีเช่นกัน 

ดวงตาซ้ายเป็นสีเหลือง ดวงตาขวาเป็นสีฟ้า
คริสติน่า เจ้าของวีนัสเล่าให้ฟังว่า …เธอเจอเจ้าวีนัสครั้งแรกภายในฟาร์มแห่งหนึ่ง ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2009 เธอเก็บวีนัสมาเลี้ยงรวมกับสุนัขที่บ้าน

วีนัสมีสุขภาพแข็งแรงเข้ากับสุนัขในบ้านได้ดี นิสัยร่าเริง

แถมวีนัสยังชอบกินอาหารสุนัขอีกด้วย
ซึ่งกว่าเจ้าวีนัสจะเป็นที่รู้จักมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะ
คลิปวิดีโอของเจ้าวีนัส
ถูกอัพโหลดลงบนเว็บไซต์ Youtube ด้วยระยะเวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์มีผู้เข้าชมคลิปกว่า 2 แสนคน

หลังจากคลิปวิดีโอดังกล่าวแพร่ออกไป มีคนสนใจเจ้าวีนัสเป็นจำนวนมาก

คริสติน่าตัดสินใจสร้างเฟซบุ๊คแฟนเพจ ที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน
เป็นยังไงล่ะมนุษย์เราน่ารักไหม 

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กาอีโอลา เกาะต้องคำสาปแห่งอิตาลี


กาอีโอลา เกาะต้องคำสาปแห่งอิตาลี
ใครเป็นเจ้าของตายโหงตายชักดิ้นชักงอหรือต้องล้มละลายทุกราย
กาอีโอลา เกาะต้องคำสาปแห่งอิตาลี

Gaiola Island
กาอีโอลา เกาะต้องคำสาป ( The Cursed Island of Gaiola ) ที่ประเทศอิตาลี เป็นเกาะขนาดเล็กๆในเขตเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี เกาะ กาอีโอลากับทำเลที่ดูน่าจับจองเป็นที่พักเหลือเกิน เเต่ทว่าเกาะเเห่งนี้มันมีตำนาน ตั้งเเต่ปี ค.ศ 1920 เรื่อยมา เจ้าของเกาะที่มาอาศัย บนเกาะแห่งนี้ เล่ากันว่ามักจะมีอันเป็นไปทุกราย ทำให้ปัจจุบัน กาอีโอลา ก็เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมความงามชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง

เกาะกาอีโอลา (Gaiola Island) หรือชื่อในภาษาอิตาเลียนว่า Isola della Gaiola คือเกาะแห่งหนึ่งในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี

โดยชื่อของมันมาจากคำว่า Caviola หรือถ้ำขนาดเล็กตามภาษาท้องถิ่น ซึ่งมันเป็นเกาะ 2 เกาะที่เชื่อมกันด้วยสะพานแคบ ๆ โดยฝั่งหนึ่งของเกาะปราศจากสิ่งก่อสร้างใด ๆ ในขณะที่อีกฝั่งมีวัดเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพธิดาวีนัส นอกจากนี้ ยังมีสถาปัตยกรรมอื่น ๆ อีก แต่ได้จมลงไปอยู่ใต้น้ำเสียแล้ว
กาอีโอลา เกาะต้องคำสาปแห่งอิตาลี

ซึ่งมีเสียงเล่าลือกันว่า พ่อมดคนหนึ่งเป็นผู้ครอบครองเกาะแห่งนี้เป็นคนแรกในสมัยศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นนักเขียนชื่อ นอร์แมน ดักลาส เจ้าของผลงานเรื่อง Land of the Siren ก็ได้มาเป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้ ซึ่งมันเหมาะจะใช้เป็นที่พักผ่อนสงบแบบส่วนตัวสำหรับนักเขียนอย่างเขาเสียจริง ๆ แต่ท่ามกลางวิวท้องทะเลอันงดงามและท้องฟ้าโปร่งใสแบบนี้ ผู้คนกลับเชื่อว่ามันคือเกาะต้องคำสาปที่จะนำพาหายนะมาสู่เจ้าของ

โดยเกาะแห่งนี้มีตำนานเรื่องเลวร้ายต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ปี 1920 เมื่อ ฮันส์ บรอวน์ เจ้าของคนต่อมาถูกพบเป็นศพถูกสังหาร พร้อมกับมีพรมห่อศพอยู่ ส่วนภรรยาก็จมน้ำตายในทะเล ตามด้วย เจอร์แมน อ็อตโต กรันด์แบ็ค เจ้าของคนถัดไปที่หัวใจวายตายบนเกาะนี้ ส่วนเจ้าของคนต่อมา มอร์ริส อีโวเช ก็ฆ่าตัวตายในโรงพยาบาลโรคประสาทที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในขณะที่ บารอน คาร์ล พอล แลงเฮม เจ้าของโรงเหล็กของเยอรมันที่มาซื้อเกาะนี้เป็นรายต่อไปก็กลายเป็นคนล้มละลาย

ความเลวร้ายยังคงไม่สิ้นสุด เมื่อ จีแอนนี แอกเนลลี ประธานบริษัท Fiat เจ้าของเกาะอีกคนก็เผชิญกับโชคร้ายต่าง ๆ นานา เริ่มตั้งแต่การที่ลูกชายคนเดียวฆ่าตัวตาย เขาจึงไปชุบเลี้ยง อัมเบอร์โต แอกเนลลี หลานของเขาให้สืบทอดกิจการแทน แต่หลานของเขาก็ตายเพราะโรคมะเร็งด้วยอายุแค่ 33 ปีเท่านั้น ตามด้วยเจ้าของเกาะคนต่อไป พอล เกตตี มหาเศรษฐีที่พอซื้อเกาะได้ไม่ทันไร หลานชายของเขาก็ถูกลักพาตัวไป
กาอีโอลา เกาะต้องคำสาป..

ปิดท้ายตำนานคำสาปด้วย จิแอนพาสคอล แกรพโพน เจ้าของคนสุดท้ายของเกาะกาอีโอลา ที่ถูกตัดสินจำคุก เมื่อบริษัทประกันของเขาล้มละลาย และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครคิดจะมาซื้อเกาะแห่งนี้อีกเลย เกาะกาอีโอลาจึงถูกทิ้งร้าง เหลือเพียงร่องรอยสิ่งก่อสร้างให้เห็นเท่านั้น เพราะแม้จะงดงามแค่ไหน คนก็คงไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับคำสาปที่น่ากลัวอย่างแน่นอน
คลิปประกอบบทความ

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องลึกลับค้นพบพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ประเทศคาซัคสถาน


ค้นพบพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก…
ในประเทศคาซัคสถานถ้าพูดถึงอียิปต์เรามักคิดถึง ‘พีระมิด’ เป็นอย่างแรก และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในประเทศอียิปต์

นักโบราณคดีค้นพบพีระมิดสไตล์อียิปต์ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเป็นที่แรกในโลก แต่มันไม่ได้อยู่ในประเทศอียิปต์ กลับอยู่ในประเทศคาซัคสถาน ห่างออกไปเกือบ 4,000 ไมล์

นักโบราณคดีค้นพบซากปรักหักพังของโครงสร้างพีระมิดขนาดใหญ่มหาศาลนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ได้เลือกที่จะเก็บไว้เป็นความลับ เพิ่งจะเปิดเผยเอาตอนนี้
Victor Novozhenov นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติคาซัคสถานได้เรียกมันว่าเป็น “การค้นพบจากความรู้สึก”
โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันโบราณคดี
ในเมืองคารากันดาที่นำโดย Igor  Kukushkin
พีระมิดที่เพิ่งค้นพบนี้ตั้งอยู่ในที่ราบซาร์ยาร์กาใกล้เมืองคารากันดา ห่างจากกรุงไคโรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3,900 ไมล์ มีลักษณะเป็นพีระมิดขั้นบันไดคล้ายกับพีระมิด Djoser ในอียิปต์ แต่เชื่อว่าสร้างขึ้นก่อนราว 1,000 ปี

Novozhenov กล่าวว่า “เราจะเข้าไปดูในหลุมฝังศพภายในสัปดาห์นี้ ทุกอย่างที่เราพบจะถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีคารากันดา”

นักโบราณคดีบอกว่ามีสิ่งก่อสร้างประมาณ 27 รายการ มีอายุแตกต่างกันตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ โครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดคือพีระมิดหินขั้นบันได 5 ชั้น และห้องฝังศพขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 7 เมตร
ล่าสุด Novozhenov ได้ออกมาเปิดเผยว่าพีระมิดที่เพิ่งค้นพบนี้ไม่ใช่พีระมิดแรกของโลกตาม

ที่สื่อหลายสำนักรายงาน มันถูกสร้างในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ มีอายุราว 3,000 ปี แต่พีระมิด Djoser ในอียิปต์มีอายุราว 4,700 ปี

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ชาวบ้านขุดพบวัตถุล้ำค่าที่สาปสูญกว่า 2500 ปี


ฮือฮาจนตาเหลือก!เมื่อ ชาวบ้านขุดพบวัตถุล้ำค่าที่สาปสูญกว่า 2500 ปี ยืนยันของแท้เกิดเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์กาล 
เป็นเรื่องราวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ของชาวเวียตนามที่ชาวบ้านได้ขุดพบเจอ สิ่งของในประวัติศาสตร์ เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์กาล และยังถือได้ว่าเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าที่หาที่เปรียบไม่ได้ เพราะยุคสมัยนี้แทบจะไม่มีหลงเหลือให้ได้เห็นกันอีกแล้ว..

เรื่องราวของการขุดพบเจอวัตถุโบราณล้ำค่านี้ถูกเปิดเผยโดยเพจดังอย่าง China Xinhua News ที่ได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวบ้านคนเวียตนามที่ได้ขุดพบเจอกลองสัมฤทธิ์ที่มีอายุกว่า 2500 ปี โดยได้ระบุเนื้อหาใจความรายละเอียดเอาไว้ดังนี้..

วันจันทร์ที่ 26 ก.ย. ศูนย์อนุรักษ์ได้ประกาศค้นพบกลองสัมฤทธิ์ดงเซิน (Đông Sơn) ที่มีอายุราว 2,000 – 2,500 ปี ในบริเวณใกล้กับแหล่งมรดกโลก ในอำเภอหวิญหลก (Vĩnh Lộc) จังหวัดแทงหวา (Thanh Hoá) ทางตอนกลางของเวียดนาม

ศูนย์อนุรักษ์ป้อมปราการราชวงศ์โฮประกาศว่า ระหว่างการสร้างอาคารมูลนิธิในบริเวณนั้น ชาวบ้านได้พบกลองโบราณอยู่ห่างจากป้อมปราการแห่งราชวงศ์โฮราว 1 กิโลเมตร ซึ่งถูกบันทึกไว้ให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2011

กลองที่ค้นพบถูกระบุว่าเป็นกลองมโหระทึกสำริดแบบเฮเกอร์ 1 ที่ถูกตกแต่งและมีลวดลายที่ซับซ้อน ทว่าบางส่วนก็ชำรุดเสียหาย สำหรับขนาดนั้น กลองดังกล่าวมีมิติภายนอกอยู่ที่ 59 เซนติเมตร และความสูง 43 เซนติเมตร

กลองสัมฤทธิ์ดงเซินเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมดงเซิน ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงของเวียดนาม เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์กาล หรือก่อนหน้านั้นจนกระทั่งศตวรรษที่สามของคริสต์ศักราช ซึ่งถือเป็นงานโลหะที่ดีที่สุดของวัฒนธรรมนี้

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

เมื่อนักโบราณคดีขุดค้นพบการสังหารหมู่ 80 ศพในกรีกยุคโบราณ


นักโบราณคดีขุดค้นพบการสังหารหมู่ 80 ศพในกรีกยุคโบราณการค้นพบในกรีซที่ทำให้คุณต้องทำใจในเรื่องกระดูกคนตายเพราะมีกระดูกคนตายกว่า 80 ศพที่ถูกฝังไว้ในสุสานโบราณ

ข้อมือถูกสวมด้วยห่วงโซ่เหล็กที่ยังค้างอยู่ คาดว่าจะเป็นเหยื่อของการสังหารหมู่ศพเหล่านี้ถูกค้นพบในสุสาน Falyron Delta necropolis 

บางศพนอนเรียงรายเป็นระเบียบหรือซ้อนทับกันอยู่แต่บางศพมีขากรรไกรเปิดอ้า(คล้ายกับเจ็บปวดเต็มที่)

แม้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้จะเพิ่งขุดค้นพบในช่วงต้นปี
แต่ยังไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าเยี่ยมชมนักโบราณคดีให้สัมภาษณ์กับ Reuters ระบุว่าโครงกระดูกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสังหารหมู่
" พวกเขาต่างถูกฆ่าทิ้งในแบบเดียวกัน
แต่ก็ได้รับการฝังแบบให้เกียรติ "

พวกเขาทุกคนต่างมีสภาพถูกร้อยรัดและโยงด้วยห่วงโซ่บนมือ

และโครงกระดูกหลายคนในจำนวนนั้นยังวัยเยาว์มาก ๆ "ตอนที่ถูกฆ่าทิ้ง "

(สังเกตได้จากโครงกระดูกกับร่องปิดบนกระหม่อมของกระโหลกศีรษะ)

Stella Chryssoulaki หัวหน้าทีมขุดค้นในหลุมโบราณคดี

แต่เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงถูกสังหารยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่
เพราะวิธีการฝังศพของพวกเขามีการตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาน่าจะไม่ใช่พวกทาสหรืออาชญากร

มีทฤษฏีหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ
Cylon ชนชั้นสูงชาวเอเธนส์และแชมเปี้ยนนักกีฬาโอลิมปิคที่พยายามก่อการรัฐประหารใน Athens ช่วงปี 632 ก่อนคริสตศักราช

ด้วยความช่วยเหลือจากทรราชแห่ง Megara ผู้เป็นพ่อตาแต่การรัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลว

Cylon หลบหนีไปได้แต่ผู้ร่วมก่อการต่างถูกฆ่าตายทั้งหมด

" บางทีการตรวจสอบ DNA อาจจะทำให้เราระบุได้แน่ชัดว่าโครงกระดูกเหล่านี้ยืนยันสมมุติฐานว่าเป็นการก่อการรัฐประหารไม่ใช่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆเพราะคนหนุ่มสาวเหล่านี้  อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทำรัฐประหาร

ที่พยายามสนับสนุนการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังของพวกชนชั้นสูง " Stella Chryssoulaki ให้สัมภาษณ์

สุสานแห่งนี้  มีอายุระหว่างศตวรรษที่ 8-5 ก่อนคริสตศักราชพบว่าถูกฝังอยู่ใต้โครงสร้างอาคารอุปรากรแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ระหว่างนอกเมือง Athens กับท่าเรือ Piraeus
มีศพรายอื่นฝังรวมอยู่มากกว่า 1,500 ศพ รวมทั้งศพเด็กในโถเซรามิค
และศพผู้ใหญ่ที่ถูกเผารวมกันหรือฝังอยู่ในโลงศพหิน

สภาพศพแบบนี้น่าจะรอพิสูจน์จากพยานหลักฐาน
1. ถ้ามีของมีคมตัดผ่านกระดูก  แสดงว่าฆ่าให้ตายก่อนฝัง
2. ถ้าไม่มีของมีคมตัดผ่านกระดูก  แสดงว่าฝังทั้งเป็นก่อนตาย
3. ให้กินยาพิษ/กรอกยาพิษให้ตายก่อนแล้วจึงจะฝัง ต้องรอพิสูจน์สารพิษตกค้างในกระดูก

ในยุคนั้น  สำหรับชนชั้นสูงมักจะให้ศัตตรู ทาสหรือคนรับใช้กินยาพิษตายแทนการฆ่าตายแบบทารุณ

โรมันกับจีนก็มีพิธีกรรมการมอบยาพิษให้ศัตรูกินแทนการประหารชีวิต

ในกรีกก็มีเช่น โสเครตีส  ที่ยอมกินยาพิษตายตามมติของชาวเอเธนส์ข้อหาทำให้พลเมืองกับวัยรุ่นปั่นป่วนเป็นภัยต่อสังคม

โสเครติสเป็นคนชนชั้นสูงที่มีทาสรับใช้ไม่ต่ำกว่า 20 คนเลยว่างจัดคนแบบนี้ ที่คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า เจียะป้าบ่อสื่อจ่อ ลี่(กินข้าวเสร็จไม่มีอะไรจะทำ)

เป็นคนที่ นิเช่  ด่าว่าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์เป็นคนบ้า คนไร้สาระ คนไม่มีหลักการ คนไม่มีอุดมการณ์ใด ๆคนไม่สร้างสรรค์สังคม

เพราะชอบเที่ยวถามคนจนมั่วไปจนหมด
แล้วไม่เคยสรุปหรือบอกว่า ได้อะไร มีอะไร กับคำถามของแกสุดท้ายตายเพราะการกระทำตัวเอง เหมือนดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า หมองูตายเพราะงู จึงอาจจะเป็นที่มาของสุสานกระดูกลึกลับนี้ก็เป็นได้

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

สัตว์อาถรรพณ์ กับความเชื่อ


คนแต่ก่อนท่านจะทำการงานหรือกิจกรรมใดๆก็เก็บข้อมูลไว้แล้วคอยสังเกตอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือทุกสิ่งอย่างโดยเฉพาะงานใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตายหรือความผาสุกแห่งแผ่นดิน เช่น การยกทัพไปจับศึกต่างๆ ซึ่งลางและฤกษ์ทั้งหลายก็มีที่มาจากสิ่งนี้แม้ในเรื่องสัตว์และคนใกล้ตัวต่างๆก็มีการทายทักเอาไว้ไม่เว้น ดังผมไปค้นดงหนังสือเก่าจนเจอ
เรื่องสิ่งต้องห้ามที่คนโบราณท่านเรียกว่า 
“อุบาทว์ 9 อย่าง” ซึ่งผูกเป็นกลอนไว้ว่า

“จงเว้นอุบาทว์เหล่าทั้งเก้าสิ่ง หนึ่งมหิงส์ เมียสอง อย่าปองหา
สุนัข 4 วิฬาร 5 อีกบุตรา 6 คน มลทินมี
สุนัข 7 8 ม้า คชา 9 แต่ล้วนเหล่าแรงร้าย เร่งหน่ายหนี
จะถอยลดยศศักดิ์ชักอัปรีย์ เป็นราคีดังกล่าวเรื่องราวมา”

ฟังแล้วก็อย่าไปปล่อยหมาแมวที่เลี้ยงไว้ให้เหลือครบตามโบราณว่าหรือพาลูกหลานไปปล่อยทีเดียวนะครับ เพราะนี่เป็นความเชื่อแต่เก่าก่อนที่รู้ไว้ประดับสติปัญญาดีแต่ไม่ได้การันตีผลของมัน ซึ่งสิ่งที่ควรเชื่อมากกว่าคือคำแนะนำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ด้วยเมตตาว่า “สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดีและบูชาดี...”
นี่เองคือ “ฤกษ์พระพุทธเจ้า” ที่ใครเชื่อก็เจริญ
เรื่องความเชื่อใน สัตว์บางประเภทว่าให้คุณ หรือโทษได้นั้นทางฝั่ง ตะวันตกก็มีอยู่ไม่น้อย ฝั่งสยามเราก็มีอยู่มาก เรียกได้มีอยู่คู่ประวัติศาสตร์มาช้านาน โดย เฉพาะที่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆเช่นสัตว์ต่อไปนี้

นกแสก เป็นนกที่หน้าตาน่าเอ็นดูถ้าไม่จู่ๆ หันหัวขวับมา 180 องศาพร้อมด้วยตาโตๆ โดยนกตระกูลนี้เป็นญาติกับนกฮูกกับนกเค้าแมว ซึ่งนกที่มีมูฟเม้นท์คอได้ราวกับผีญี่ปุ่นนี้มีสุ้มเสียงที่ไม่ธรรมดาโดยเฉพาะ “นกแสก” 
ที่ร้องขึ้นมายามค่ำคืนเหนือบ้านใครก็จะพากันเย็นจับขั้วหัวใจด้วยเชื่อว่า มาบอกลางมรณะ นั่นเป็นที่มาของชื่อ “นกผี”

ในเรื่องของการดูนิมิตจากนกนี้คนโบราณท่านดูต่างจากเราโดยมีศาสตร์เฉพาะด้านโหราเรียกว่า “สกุณฤกษ์” ที่ให้ดูสัตว์ปีกบนท้องฟ้าก่อนที่จะทำการใดๆ เช่นออกจากบ้านหรือยกทัพไปสัประยุทธ์กันในทางปราชญ์ท่านแบ่ง “นกฝ่ายขวา” กับ “นกฝ่ายซ้าย” (ฟังดูยังกับนกการเมือง) โดยนกฝ่ายขวาคือนกหากินกลางวัน ส่วนสกุณาฝ่ายซ้ายคือชนิดที่หากินกลางคืน เลยโดนคนจับเปรียบว่าเป็นนกอัปมงคล 

คนสมัยก่อนท่านให้รายละเอียดไว้ว่า “ถ้าเห็นพญาแร้งบินมา ดุจพระยามาร ถ้าเห็นนกกระเรียนมา ดุจมนตรีหรือเสนาบดีมา ถ้าแลเห็นนกกาบินมา ดุจอำมาตย์ผู้ใหญ่มา ถ้าแลเห็นนกทั้งหลายบินมา ดุจสมณะและพราหมณ์มา”

ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่ได้แย่ทั้งร้อย เห็นไหมครับว่าความเชื่อเองก็ยังแย้งกันแม้ในตำราเก่าแก่เหมือนกัน ดังนั้นก็ขอให้ใช้เหตุผลเถิดครับเพราะนกประเภทเค้าแมว, นกแสก หรือแม้แต่แร้ง ซึ่งนกเหล่านี้มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก แต่ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

แมวดำ ความเชื่อไทยเราแต่ก่อนที่ว่าแมวดำเป็นดั่งลางร้ายบอกเหตุ เช่น ถ้ากำลังเดินทางแล้วแมวดำ “วิ่งตัดหน้า” ต้องหยุด ไม่ควรไปต่อด้วยเชื่อว่าถ้าไม่เลิกล้มการเดินทางก็จะเกิดหายนะขึ้นเป็นแน่แท้ ซึ่งข้อนี้ผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านคงเตือนไว้เพราะการที่สัตว์วิ่งตัดหน้าก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และเป็นการเตือนให้เราระมัดระวังในการเดินทางต่อไปข้างหน้ามากขึ้น

ความเชื่อเรื่องแมวดำของไทยไม่ได้ร้ายเสมอไปนะครับเพราะมีแมวดำชนิดที่เรียก “แมวโกญจา” ที่หน้าตาเป็นแมวดำปลอดทั้งตัว ขนสั้นเส้นเล็กละเอียดนุ่ม นัยน์ตาเหลือง หรือสีทองอ่อน ซึ่งบางคนรู้จักในชื่อพันธุ์ “บอมเบย์” ท่านก็ว่าเป็นแมวที่มี “คุณ” แก่ผู้เลี้ยงหนักหนา ผิดกับความเชื่อทางตะวันตกที่ว่าแมวดำเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด

สำหรับมนุษย์ที่เข้าใจดีและมีเมตตาก็ย่อมรู้ว่าความโชคร้ายนั้นหาได้มาจากสัตว์ตาดำๆไม่ หากแต่มาจากความโหดร้ายที่คนเราเลือกที่จะทำเองต่างหาก มีอาณาจักรหนึ่งที่ไม่เกลียดกลัวแมวดำแต่กลับอ้าแขนรับด้วยซ้ำ
(โชคดีของแมวดำ) 

เรื่องนี้มีข้อมูลจากองค์กรผู้ดูแลแมวนานาชาติ (International Cat Care) ว่าชาวไอยคุปต์ถือว่าแมวดำเป็น “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ที่พึงกระทำบูชาด้วยเป็นตัวแทนของเทวีแบสเต็ทที่มีพระกายเป็นนางสิงห์ ซึ่งเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับ “แมวบ้าน” ที่เป็นดั่งตัวแทนของพลัง, การปกป้องอันตราย และ ความสง่างามเพริศพราย ซึ่งล้วนแต่เป็นมงคลกับผู้ดูแลแมวเป็นอย่างดี ความเชื่อนี้มีมายาวนานหลายพันปีเลยครับ

จิ้งจกทัก การที่จิ้งจกร้องทักผู้ใหญ่สมัยก่อนท่านว่าเป็น “ลางบอกเหตุ” ที่เชื่อว่ามีทั้งดีและร้าย ไม่ใช่ว่าทักแล้วต้องไม่ดีอย่างเดียว โดยขึ้นอยู่กับ “ตำแหน่ง” แห่งที่ของการร้องทักที่ว่านี้ด้วยดังที่โบราณว่า “ข้างหน้ามีชัยไปเถิด ข้างหลังห้ามไปไม่ดี ข้างซ้ายมีชัยไปเถิด ข้างขวาห้ามไปไม่ดี ข้างบนห้ามไป จิ้งจกไต่เท้าจะมีชัยไปเถิดดี” 

เรื่องนี้เป็นความเชื่อที่อาจมองเป็นความรอบคอบของคนสมัยก่อนท่านก็ได้ เพราะที่ไหนจิ้งจกเยอะที่นั่นอาจมีงูตามมาได้ ดังนั้นการที่มันร้องกันเซ็งแซ่ก็อาจเพราะเจองู ซึ่งสมัยก่อนที่ยังมีสุมทุมพุ่มไม้เยอะก็คงต้องระวังเวลาเดินออกจากบ้านไป เห็นไหมครับว่าจิ้งจกนี้ที่จริงเป็นสัตว์น่ารักเพราะช่วยเรากินแมลงไม่ให้มารบกวนในบ้านแล้วยังช่วย “ทัก” ตามที่ต่างๆ ฝึกสมองให้เราแก้เหงาได้อีก (แฮ่)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้นทรงมีพระเมตตาสูง ประทานข้าวสุกในเครื่องฉันของท่านแบ่งจิ้มกับข้าวแล้วแปะผนังให้กับบรรดาจิ้งจกที่กุฏิ ดังนั้นท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไปกับเสียงร้องของจิ้งจกตัวน้อยเลยนะครับ
ตุ๊กแก ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับตุ๊กแกอย่างหนึ่งคือสัตว์ชนิดนี้เป็นที่สิงของดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วท่านมาเตือนด้วยการส่งเสียงร้องซึ่งมีความหมายในรูปแบบต่างๆ 

บางตำราก็ว่าให้ดูจำนวนครั้งที่ร้อง ถ้าร้อง 5 ทีไม่ดีนัก ส่วนร้อง 6 ถือว่าเจ้าของบ้านจะมีเรื่องเดือดร้อนอึดอัด ถ้าร้อง 7 ก็ยิ่งไม่ดีเพราะจะทำให้เสียทรัพย์ด้วย แต่หากตุ๊กแกร้องมากกว่านี้เช่น 8, 9 หรือ 10 ครั้งนั้นจะโชคดี มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต โบราณท่านว่าควรจะเลี้ยงไว้ (อ้าว... ปกติไม่เลี้ยงเขาก็เกาะตาโตอยู่ฝาบ้านอยู่แล้วนะฮะ) และถ้าพิเศษกว่านั้นคือถ้าร้อง 11 ครั้งนี่ถือว่าโชคดีหลายชั้นมากกับเจ้าของบ้านอาจพานพบเนื้อคู่ด้วย แต่ตำราท่านบอกถ้าร้องเบาๆ หรือน้อยกว่า 5 ครั้งก็ไม่ต้องเมื่อยหูนับก็ได้เพราะไม่มีความหมายนัก
อย่างไรก็ดีครับไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เพราะโบราณท่านว่าไว้แต่การที่บ้านมีตุ๊กแกมาอาศัยอยู่ก็แสดงว่าบ้านของท่านน่าอยู่อาศัยครับ ใครที่ใจบุญมีเมตตาก็ย่อมทำให้เคหาสถ์นั้นเป็นที่ร่มเย็นเสมอ

แมงมุมตีอก เรื่องนี้เชื่อว่าหลายท่านไม่เคยได้ยิน เรื่องแมงมุมตีอกบอกลางร้ายนี้ตำราท่านว่าถ้าได้ยินเสียงแมงมุมตีอก “ผึงๆ” ผิดสังเกต (ผมก็เพิ่งรู้ว่าแมงมุมตีอกเป็นเสียงอย่างนี้) ท่านว่าจะเป็นเสียงที่ฟังแล้วสะท้านเยือกเย็นครับ จะเป็นลางร้าย ถ้าใครกำลังจะเดินทางควรต้องละเว้นหรือยกเลิกเด็กขาดเพราะอันตรายหรือหายนะถึงชีวิตจะมาเยือน ฟังแล้วก็ขนลุกนิดๆจิตตกหน่อยๆ นะครับ โบราณท่านได้แยกแยะผลของแมงมุมตีอกตามที่ต่างๆในบ้านไว้ด้วย เช่น แมงมุมตีอกในเรือนจะเกิดวิวาทพลัดพรากกัน ถ้าตีอกใต้ที่นอนจะตายหรือบาดเจ็บสาหัส หากตีข้างฝารอบๆจะต้องระวังการเดินทางไกลอาจมีอุบัติเหตุ ส่วนถ้าตีอยู่ที่หัวนอนจะมีสิ่งชั่วร้ายมาทำให้โกรธเคือง สุดท้ายถ้าตีอกเบื้องทิศปัจฉิมซึ่งคือประจิมตะวันตกท่านว่าจะมีผู้ใส่ความ ข้าและเมียจะหนีหาย

งู คนไทยเราก็มีความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตอาถรรพณ์ของอสรพิษนี้อยู่พอสมควร ดังความเชื่อที่เป็นมงคล เช่น เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชสมภพนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์เป็นอัศจรรย์ คือมีอสุนีบาตฟาดลงตรงเสาดั้งของห้องเรือนที่ท่านประสูติ แต่หามีผู้ใดเป็นอันตรายไม่ ครั้นเมื่อประสูติได้ 3 วันขณะนอนอยู่ในกระด้ง (สมัยก่อนใส่เด็กอ่อนในกระด้ง) ก็มีงูเหลือมใหญ่เข้ามานอนขดเป็นวงล้อมรอบตัวทารกเป็นทักษิณาวัตร

ส่วนในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีบทกลอนพระราชนิพนธ์เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประพาสยุโรปที่พระราชทานแด่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ ซึ่งโคลงบทนี้เดิมบรรจุทำนองเป็นแขกมอญ 3 ชั้นแล้วต่อมาสุนทราภรณ์อัญเชิญแปลงเป็นเพลง “ทำนายฝัน” อันมีเนื้อเดิมว่า “คืนนั้นฉันฝันไปว่าชมสวน หอมลำดวนดอกแย้มแซมไสว เขาโน้มกิ่งชิงเก็บกำเริบใจ มีงูใหญ่เลื้อยกระหวัดรัดข้อมือ ฉันดิ้นร้องก้องหูจนรู้สึก วานช่วยนึกทำนายร้ายอยู่หรือ ไม่ร้ายลองต้องวุ่นดอกบุญลือ ฝันนี้ คือจะได้คู่สู่สมเอย” เป็นเรื่องงูแบบไทยๆที่ใช้เป็นนิมิตทำนายฝันถึงเนื้อคู่

ส่วนในข้างฝั่งตะวันตกนั้นอสรพิษถือเป็น “ผู้ร้าย” แต่ไหนแต่ไรมาด้วยถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่ซาตานส่งมาล่อลวงมนุษย์คู่แรกให้กระทำผิดบาปลักลอบกินผลไม้ต้องห้ามจนถูกลงโทษให้ตกสวรรค์ ส่วนอสรพิษร้ายผู้ก่อเรื่องถูก “สาป” ให้ต้องรับโทษอย่างที่สัตว์อื่นไม่เคยประสบนั่นคือ “ให้ต้องใช้ท้องเดินตลอดไปและให้ต้องอยู่กับพื้นกินฝุ่นคลีอยู่ตลอดชั่วกาลนาน 

(Genesis 3:14)” ส่วนข้างฝั่งชาติใกล้บ้านเราอย่างฟิลิปปินส์เชื่อว่าถ้าใครข้ามงูเข้าถือว่าเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งด้วยถือว่างูนั้นเป็น “ปีศาจจำแลง” ซึ่งผมว่าการข้ามงูก็เสี่ยงต่ออันตรายอยู่ไม่น้อยแล้วนะครับ สำหรับงูผู้ตกเป็นจำเลยที่น่าสงสารนี้ยังมีข่าวดีให้ได้สบายใจอีกอย่างหนึ่งคือถ้าใครเจอมันในช่วงที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ชาวตากาล็อก เขาเชื่อว่ามันเป็นนิมิตดีว่าคนคนนั้นจะฟื้นคืนมาดีดังเดิมครับ

ผึ้งทำรัง เป็นหนึ่งในความเชื่อเรื่อง “สัตว์มาสู่” คือมีสัตว์เข้ามาหาที่บ้านนั้นว่าจะเป็นผลอย่างไร โดยเรื่องผึ้งนั้นตำราท่านว่าให้ดู “ทิศ” เป็นหลักจึงจะบอกคุณหรือโทษได้ครับ โดยท่านว่าถ้าผึ้งนั้นมาจับทางทิศบูรพา (ตะวันออก) จักเสียทรัพย์ อาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ให้ระวังเพลิงไหม้ ทิศ ทักษิณ (ใต้) ตัวจะตาย หากเป็นทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ให้ระวังโจรภัย ส่วนถ้าทำรังในทิศปัจฉิม (ตะวันตก) จะได้ลาภ 2 เท้าเป็นนารี ถ้าพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) จะสุขสบาย หากอุดร (เหนือ) จะมีลาภ สุดท้ายคือทิศอีสานจะมีคนยกย่องนับถือมาก 

ทั้งหมดนี้ท่านว่าใช้กับสัตว์อื่นๆที่เข้าบ้านเราก็ได้ ไม่ว่าจะนกแสก, นกยางขาว หรือแม้แต่ปลวกก็ตาม
(ถ้าปลวกขึ้นทิศไหนก็ไม่ค่อยดีมังครับ)

ซึ่งเรื่องสัตว์มาสู่บ้านนี้ผมว่าคนสมัยก่อนท่านคิดดีนะครับ ด้วยท่านมักว่าบ้านไหนที่มีต่อ, แตน หรือผึ้งเข้ามาทำรังนั้นเป็นเรื่องดีไม่ควรตีหรือไล่เสมอไป เพราะแท้จริงการไปรบกวนรังควานเขามากบ่อยๆก็อาจทำให้เขารู้สึกไม่สงบและออกมาทำร้ายคนได้ ดังนั้นท่านจึงแนะให้บ้านที่มีสัตว์ประเภทที่ว่ามาทำรังอยู่นั้นให้เสริมมงคลด้วยการทำบุญและนั่งปฏิบัติภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับผู้กระทำอยู่แล้ว

สิทธิการิยะท่านว่านานาเรื่องแห่งลางจากสัตว์นี้ถ้าใช้เหตุผลเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะดี ไม่มีเหตุใดที่จะต้องเชื่อไปทั้งหมด และไม่มีเรื่องใดที่ยืนยันได้ว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นทั้งร้อย ดังนั้นจึงขอให้ท่านที่รักใช้ “กาลามสูตร” อันเป็นหลักการแห่งเหตุผลก่อนเชื่อไว้ให้จงหนัก หลายอย่างถ้าเชื่อแล้วลำบากตัวเรานักหรือเดือดร้อนแก่สัตว์ผู้ยากก็ละไว้เพราะไม่มีสิ่งใดจะแก้อาถรรพณ์ได้ดีกว่าการทำดีกับชีวิตอื่นๆครับ.

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

Rongorongo อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา?


Rongorongo : อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา?

รองโกรองโก้ หรือ โรโงโรโง คือจารึกอักษรภาพบนแผ่นไม้ที่ปักบนหลุมศพ รวมกว่า 20 แผ่น ถูกพบที่เกาะอีสเตอร์ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในศตวรรษที่ 19

ลักษณะของอักษรมีรูปร่างแปลกๆ บางตัวเหมือนรูปคน บางตัวเหมือนรูปสัตว์ในท่าทางต่างๆ กัน ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีใครแปลความหมายของมันได้ 

ต่อมาในปี 2010 Robert M. Schoch นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่ง College of General Studies at Boston University ได้เดินทางไปทำงานวิจัยบนเกาะอีสเตอร์ และศึกษารูปแบบของจารึก Rongorongo ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ มันทำให้เขานึกถึงงานวิจัยของ Anthony L. Peratt นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่ศึกษาเรื่องรูปแบบของพลาสมาในชั้นบรรยากาศโลก... เพราะมันคล้ายคลึงกันมาก!

นอกจากนี้แล้ว Schoch ยังพบว่าอักขระ Rongorongo มันมีความคล้ายกับภาพสลักดึกดำบรรพ์บนผนังถ้ำทั่วโลก หรือแม้แต่ภาพสลักขนาดยักษณ์บนที่ราบสูงนาซคาด้วย ซึ่งมันน่าจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งข้อมูลในงานวิจัยของ Peratt ก็บอกว่าในช่วง 8,000 – 10,000 ปีที่ผ่านมา 

ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานจากพลาสม่าจำนวนมหาศาลด้วย

เมื่อศึกษาข้อมูลจากหลายๆ งานวิจัยมากๆ เข้า Schoch จึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า Rongorongo น่าจะเป็นอัขระที่บันทึกเรื่องภัยพิบัติที่เกิดจากพายุพลาสม่า ซึ่งดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก ซึ่งทำให้มนุษย์โฮโมซาเปียนในยุคนั้นต้องหลบเข้าไปอาศัยในถ้ำ หรือนำหินมาซ้อนทับกันใต้หน้าผา ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคมืดมนนานนับพันปี จนอารยธรรมเหล่านี้ต่างสาบสูญไปหมด

นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่จะไขปริศนาได้อย่างแน่นอว่า แท้จริงแล้วจารึก Rongorongo คืออะไรกันแน่?

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

8 ความจริงชวนอ้วกของชาวโรมัน ที่จะทำให้คุณคลื่นไส้

8 ความจริงชวนอ้วกของชาวโรมัน
ที่จะทำให้คุณคลื่นไส้
โรมโบราณ ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 753-476 ปีก่อนคริสศักราช ซึ่งในขณะนั้น ชาวโรมันถือเป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ในทางกลับกัน พวกเขาก็มีบางอย่างที่ชวนขยะแขยงชวนอ้วก ซึ่งจะขอนำมาให้ชมบางส่วนในวันนี้ 

1. ฟองน้ำเช็ดก้น
กรุงโรมในสมัยนั้น ถือว่าเป็นเมืองแรกในโลกที่มีสิ่งที่เราอาจพิจารณาได้ว่าเป็นระบบการประปาขั้นสูง ห้องน้ำสาธารณะถือเป็นสิ่งปกติในกรุงโรม ฟังดูเหมือนจะดี แต่ที่ไม่ดีเลยก็คือห้องน้ำเหล่านี้แทบไม่ได้รับการทำความสะอาดเลย แถมสิ่งที่ใช้แทนกระดาษชำระในขณะนั้นก็คือ ไม้ที่มัดด้วยฟองน้ำเพียงชิ้นเดียว ถูก้นเวลา ขี้เสร็จ เขาจะเอาฟองน้ำนี้เขย่าๆ
แก่วงในน้ำด่างเพื่อทำความสะอาดเศษอุจระที่ติดค้างและคุณสามารถใช้แชร์กับคนอื่นเพื่อทำความสะอาดก้นเวลาอึเสร็จเรียบร้อย

2. ห้องน้ำระเบิด
ในเมื่อห้องน้ำในสมัยโรมันไม่ได้ถูกทำความสะอาดเลย แน่นอนว่ามันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้อย่างรวดเร็ว แถมผลข้างเคียงชวนสยองก็คือ มันจะกลายเป็นที่อยู่ของสัตว์เลื้อยคลานที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่สกปรก และสุดท้าย การสะสมของก๊าซมีเทนในท่อน้ำ จะกลายเป็นชนวนระเบิด ซึ่งถ้าตูมตามขึ้นมา คงไม่ต้องนึกภาพว่า คนที่เข้าไปอึตอนนั้นจะมีสภาพยังไง

3. ธุรกิจฉี่
รู้หรือไม่ว่า ชาวโรมันในสมัยนั้นมีธรุกิจเกี่ยวกับฉี่ที่เฟื่องฟูอย่างมาก โดยพวกเขาเชือว่าฉี่ของมนุษย์ มีความสามารถในการทำความสะอาดและมีคุณสมบัติในการรักษาโรค ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ฉี่สำหรับการทำความสะอาดหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เสื้อผ้า รวมไปถึงการนำมาใช้แปรงฟันอีกด้วย

4. เลือดนักสู้ถูกใช้เป็นยา
เนื่องจากความนิยมในการต่อสู้ของเหล่านักรบกลาดิเอเตอร์ ชาวโรมันจึงมีความเชื่อเกี่ยวกับ เลือดของนักสู้และชิ้นส่วนต่างๆ

บนร่างกายพวกเขาจึงกลายเป็นธุรกิจได้ พ่อค้าบางคนค้าขายเลือดของเหล่านักสู้ ที่ถูกเชื่อว่าเป็นยารักษาโรค รวมถึงการกินชิ้นส่วนของนักสู้ที่ตายแล้วเพื่อสุขภาพอีกด้วย

5. ผิวของนักสู้ใช้ทาหน้า
ในสมัยก่อน สบู่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหายาก ผู้คนจึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Strigil” เอาไว้ขูดเหงื่อและผิวหนังที่ตายแล้วเพื่อเป็นการทำความสะอาดร่างกาย แต่ผิวของนักสู้จะต่างออกไป เพราะพ่อค้าจะเก็บสะสมผิวของพวกนักสู้ที่ชนะเลิศ เพื่อนำไปขายเป็นครีมทาหน้าให้กับหญิงสาว ผู้ต้องการมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชาย รวมไปถึงเป็นยาบำรุงทางเพศของผู้หญิงอีกด้วย

6. ภาพาวาดองคชาติ
ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ใครส่งสัญลักษณ์องคชาติให้กันคงมีตีกันไปแล้ว แต่สำหรับชาวโรมัน การวาดสัญลักษณ์องคชาติสื่อถึงการนำมาซึ่งความปลอดภัยและความโชคดีมาให้ อย่างเช่น สัญลักษณ์องคชาติที่ถูกวาดขึ้นบนกำแพงในสถานที่ๆ อันตราย นั่นหมายถึงการช่วยให้นักเดินทางรู้สึกปลอดภัย

7. อ้วกเพื่อกินต่อ
ในงานเลี้ยงของชาวโรมัน พวกเขาจะกิน กิน กิน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถกินต่อไปได้อีก หลังจากนั้นพวกเขาจะอ้วกออกมา เพื่อที่จะได้กินได้ต่อไป บางคนก็จะอ้วกลงไปในชามที่วางไว้รอบๆ โต๊ะ แต่บางคนโดยเฉพาะพวกขี้เมาก็ปล่อยอ้วกเละเทะลงบนพื้น จากนั้นก็กลับไปกินต่อ

8. ขี้แพะสารพัดประโยชน์
แน่นอนว่า ในสมัยก่อนไม่มีผ้าพันแผล ชาวโรมันจึงโปะแผลด้วยขี้แพะที่สะสมเอาไว้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและตากแห้งเอาไว้ นอกจากนั้น บรรดาคนขับรถม้ายังใช้ขี้แพะไปต้มในน้ำส้มสายชู คลุกเคล้ากับแป้งและนำมันไปผสมเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อเอาไว้จิบเล็กน้อยเวลาที่รู้สึกอ่อนเพลีย

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ชาวประมงปินส์บุญหล่นทับ เจอไข่มุกใหญ่สุดในโลก

ชาวประมงปินส์บุญหล่นทับ 
เจอไข่มุกใหญ่สุดในโลก ราคาเบาะๆ
3 พันกว่าล้าน
ชาวประมงฟิลิปปินส์รวยไม่รู้เรื่อง เจอไข่มุกก้อนใหญ่สุดในโลก หนักถึง 34 กก. สนนราคาอาจสูงถึง 3.4 พันล้านบาท ระหว่างออกเรือหาปลา ตั้งแต่ 10 ปีก่อน แต่ไม่รู้ว่ามันคือไข่มุก เก็บไว้ในฐานะเป็นก้อนหินนำโชคเท่านั้น

เมื่อ ส.ค.59 สื่อต่างประเทศรายงานเรื่องฮือฮา ชาวประมงชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง 
(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่เกาะปาลาวัน พบไข่มุกขนาดใหญ่ น้ำหนัก 34 กก.
และคาดว่าน่าจะเป็นไข่มุกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันคือไข่มุกล้ำค่า ที่อาจมีราคาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.4 พันล้านบาท เพียงแต่ชาวประมงรายนี้ได้เก็บรักษาไข่มุกไว้ในฐานะเป็นเครื่องรางนำโชคเท่านั้น

ข่าวแจ้งว่า ความจริงมาประจักษ์ เครื่องรางหรือหินนำโชคที่ชายประมงคนนี้พบนั้น เป็นไข่มุกขนาดใหญ่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการพบกันมา เพราะมันใหญ่กว่าไข่มุกที่ว่าใหญ่สุดซึ่งถูกพบมาก่อนหน้านี้ ถึง 5 เท่า ก็เมื่อมาเกิดเหตุไฟไหม้บ้านไม้ของชาวประมงผู้นี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้เขาต้องย้ายบ้าน และเขาได้ตัดสินใจที่จะนำมันไปด้วย จนเมื่อมีเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวท้องถิ่นในเมืองเปอร์โต ปรินเซสก้ามาเห็นเข้า จึงได้นำหินนี้ไปตรวจสอบ แล้วจึงรู้ว่า มันเป็นไข่มุกที่ประเมินค่ามิได้

ไข่มุกก้อนนี้ มีขนาดความยาวถึง 2.2 ฟุต กว้าง 1 ฟุต หนัก 34 กก. ซึ่งตามการตีราคาของ ‘ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์’ ซึ่งเป็นไข่มุกขนาดใหญ่สุดที่พบก่อนหน้านี้ มีน้ำหนัก 6.4 กก.ก็มีราคาถึง 35 ล้านดอลลาร์แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวท้องถิ่นของฟิลิปปินส์ 
ยังเปิดเผยที่มาของการพบไข่มุกขนาดใหญ่สุดในโลกของชายประมงว่า เขาได้โยนสมอลงไปในทะเลเพื่อตรึงเรือไว้ขณะเจอพายุ และปรากฏว่า สมอได้ไปติดกับก้อนหินก้อนหนึ่ง 

จากนั้นเขาจึงดำน้ำลงไปถอนสมอและเห็นว่าสมอติดอยู่กับหอย จึงนำหอยขึ้นมาด้วย และเก็บมันไว้ที่บ้านตั้งแต่สิบปีที่แล้วในฐานะเครื่องรางนำโชค

กระทั่งมารู้ว่า ความจริง มันเป็นไข่มุกล้ำค่าเมื่อไม่นาน และขณะนี้ ชายประมงได้ส่งไข่มุกมาให้เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวช่วยนำไปตรวจสอบต่อว่าเป็นไข่มุกจริงๆ หรือไม่ และคงต้องรอผลการตรวจสอบต่อไป ทั้งนี้ ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์ หรือรู้จักในชื่อ Pearl of Lao Tze ก็พบในทะเล นอกชายฝั่งเกาะปาลาวัน ของฟิลิปปินส์ ในปี 2477 และขณะนี้ได้ถูกนำไปแสดงที่นิวยอร์ก

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ขุดพบวัตถุโบราณใต้พระราชวังต้องห้าม


ขุดพบวัตถุโบราณใต้พระราชวังต้องห้าม สันนิษฐานสร้างวังทับพระราชวังกุบไลข่าน
พื้นที่ขุดพบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมพระราชวังโบราณสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งอยู้ใต้พื้นพระราชวังต้องห้าม (ภาพเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์)
       
ไชน่าเดลี - พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ในกรุงปักกิ่ง เผย (6 พ.ค.) ยืนยันการค้นพบวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ.1271-1368) ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินนานกว่า 600 ปีกลางกรุงปักกิ่ง
             
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง หรือ พระราชวังต้องห้าม เผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พ.ค. ว่าได้ขุดพบวัตถุโบราณระหว่างการซ่อมบูรณาในเขตโบราณสถานนี้
      

หลี่ จี๋ หัวหน้าสำนักโบราณคดีของพิพิธภัณฑ์ ร่วมกับหน่วยงานวิจัยทางวิชาการ กล่าวว่าได้ขุดค้นพบวัตถุโบราณในบริเวณฝั่งตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ระหว่างบูรณะเพื่อวางสายเคเบิลใต้ดินเมื่อปีที่แล้ว แต่ใช้เวลาหลายเดือนเพื่อพิสูจน์ยืนยันอายุของวัตถุโบราณเหล่านั้น
               
"ชิ้นส่วนกระเบื้องต่างๆ ล้วนเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า อายุของวัตถุโบราณเหล่านั้น น่าจะไม่น้อยกว่ายุคต้นๆ ราชวงศ์หมิง" หลี่ จี๋ กล่าว
           
ขณะที่นักโบราณคดีจีนหลายคนเชื่อมั่นว่า การขุดค้นพบโบราณวัตถุใต้พระราชวังต้องห้ามนี้ จะคลี่คลายปริศนาตำแหน่งของพระราชวังจักรพรรดิกุบไล ข่าน ในยุคราชวงศ์หยวน ศตวรรษที่ 13 หลังจากที่ข้อสันนิษฐานจำนวนมากยืนยันว่าอยู่ในกรุงปักกิ่ง และที่สุดอาจจะไม่ใกล้ไม่ไกลที่ไหน แต่อยู่ข้างใต้พื้นพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง
              
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่แท้จริงของพระราชวังราชวงศ์หยวนนั้น ยังเป็นปริศนาแต่มีความเชื่อว่าอยู่ใกล้กับเขตพระราชวังต้องห้าม และผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มค้นหาเขตโบราณสถานสำคัญใต้พื้นดินพระราชวังต้องห้ามนี้ มาตั้งแต่ปีค.ศ.2014 ด้วยความหวังที่จะศึกษาแผนผังก่อสร้างสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์จีน
         

จากการขุดบูรณะเขตก่อสร้างใจกลางพระราชวังต้องห้าม ทำให้เห็นโครงสร้างแผนผังเขตของโบราณสถานนี้ว่ามีการทับซ้อนกัน 4 ชั้น เริ่มจากยุคหมิงตอนต้น ตอนกลาง และชั้นล่างสุดคือยุคราชวงศ์หยวน
             
หลี่ จี๋ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ Youth.cn ว่า แรงงานก่อสร้างในยุคราชวงศ์หมิง ได้รื้ออาคารต่างๆ ในสมัยราชวงศ์หยวนออกจากพื้นที่ และเริ่มก่อสร้างพระราชวังต้องห้าม ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกันยังได้ขุดพบ ซากปรักหักพังของสวนพระราชวังสำหรับพระชนนีขององค์จักรพรรดิ์ และหลุมเศษกระเบื้องพอร์ซเลนสมัยราชวงศ์ชิงที่ถูกทิ้งร้าง
            
ทั้งนี้ พระราชวังต้องห้าม เป็นพระราชวังหลวงที่มีแผนผังทางสถาปัตยกรรมซับซ้อน ก่อสร้างระหว่างปีค.ศ.1406-1420 และเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์จีนยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) จนสิ้นยุคราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911)

คนงานก่อสร้างขณะขุดปรับพื้นลานหน้าพิพิธภัณฑ์พระราชวัง กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สวนลอยแห่งบาบิโลน

สวนลอยแห่งบาบิโลน                          ชื่อสถานที่ :สวนลอยเเห่งกรุงบาบิโลน  สถานที่ตั้ง :กลางทะเลทรายเมืองเเบกเเดดประเทศอิรัก                 
ปัจจุบัน :ทั้งสวนเเละผนังทรุดโทรมจนเเทบไม่เหลือซากเเล้ว
สวนลอยแห่งบาบิโลนนับเป็นความรุ่งเรืองเกรียงไกรยิ่ง โดยเฉพาะตำนานของคริสเตียนได้มีข้อความที่กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของสวยลอยแห่งนี้ไว้มาก กล่าวกันว่าบาบิโลนคือสถานที่แรกๆ ของบรรพบุรุษชาวโลกในกาลก่อน และยังมีบางส่วนที่กล่าวถึงบาบิโลนในฐานะที่เป็นหอคอบสูงที่มนุษย์ใช้สำหรับหลับภัยยามน้ำท่วมโลกก่อนที่จะพังทลายลง ปัจจุบันนักวิชาการต่างพยายามค้นคว้าข้อมูลและหาตำแหน่งที่แท้จริงของสถานที่ตั้งสวนลอยว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด

สวนลอยบาบิโลน (อังกฤษ: Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี 

ปัจจุบันสวนนี้ได้พังทลายไปหมดแล้ว

คำว่า”บาบิโลน” สำหรับคนที่เรียนประวัติศาสตร์แล้ว ฟังดูเป็นอดีตที่แสนจะห่างไกล เป็นเรื่องเล่าปะรัมปะราที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของวัฒนธรรม และความเจริญก้าวหน้าด้านวิศวกรรมการก่อสร้างที่สวยงามโด่งดัง “สวนลอยบาบิโลน”
ยิ่งเห็นภาพวาดก็ยิ่งวาดฝัน….ซักวันคงมีโอกาสได้ไปสัมผัสอู่อารยธรรมมนุษยชาติแห่งนี้…

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า บาบิโลนเป็นนครของชาวเซไม้ท์กลุ่มหนึ่ง อยู่ทางภาคใต้ของบริเวณเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 2,350 ก่อน ค.ศ. ซึ่งพัฒนาต่อๆมาเป็นนครใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่งของโลก มีกำแพงเมืองล้อมรอบตัวเมืองเป็นระยะทางเกือบ 8 กิโลเมตร มีหอคอยกั้นระหว่างกำแพงเป็นระยะๆ มีประตูเมือง 8 แห่ง เข้าสู่ภายในเมือง ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐ ตรงประตูเมืองวาดภาพเป็นรูปสัตว์นับร้อยๆ ภาพ ตกแต่งสวยงาม มีถนนบนกำแพงเมืองกว้างพอให้ทหารเดินไปรอบๆเมือง เพื่อป้องกันข้าศึก

ชาวกรีกได้บันทึกไว้ว่ากำแพงเมืองบาบิโลนสูง 700 ฟุต มีความหนามาก จนส่วนบนของกำแพงกว้างพอให้รถศึกเทียมด้วยม้า4ตัว วิ่งไปบนส่วนของกำแพงได้ แต่ข้อมูลนี้ถูกโต้แย้งในเรื่องของความสูงว่า จริงๆ แล้วอาจบันทึกผิด น่าจะสูงแค่ 70 เมตร (แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครรู้หรอกว่า ความเป็นจริงๆแท้ๆนั้นเป็นอย่างไร ลองดูรูปวาดที่มีตกทอดมาให้ดูประกอบการตัดสินใจเองแล้วกัน

สวนลอยฟ้าบาบิโลน
(The Hanging Gardens of Babylon) ได้รับยกย่องว่าเป็น
“หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก”
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ให้ความเห็นว่า ทหารของกษัตริย์ Alexander ได้มาถึง Mesopotamia และมาถึงอาณาจักร Babylon ที่รุ่งเรือง เมื่อพวกเขากลับไปก็ไปเล่าให้ผู้คนฟังถึง สวนลอยที่สวนงาม ต้นปาลม์ พระราชวัง หอบาเบล ทำให้กวีและนักประวัติศาสตร์จินตนาการไปต่างๆนาๆ สวนลอยแห่งนี้ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ Euphrates ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Baghdad เมืองหลวงของประเทศ อิรัก ประมาณ 50 Km 

อาณาจักร Babylon เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยของกษัตริย์ Hammurabi (ประมาณ 1750 ปีBC) แต่นั่นยังไม่ใช่ยุคของความเจริญสูงสุดของอาณาจักรนี้ จนในสมัยของกษัตริย์ Naboplashar(ประมาณ 625 ปีBC) จึงถือว่าเป็นจุดสูงสุดหรือยุคทองของอาณาจักรบาบิโลนนี้อย่างแท้จริง โดยลูกชายของกษัตริย์ Naboplashar ที่ชื่อว่า Nebuchadnezzar ที่ 2 เป็นผู้ก่อสร้างสวนลอยแห่งบาบิโลนขึ้นมา เล่ากันว่าแรงจูงใจของพระองค์ก็คือ เป็นการ สร้างให้กับ ราชินี
หรือ นางสนมของพระองค์ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

ภายในกำแพงเมืองเข้าไปเป็นที่ตั้งของพระราชวังกษัตริย์และวิหารทางศาสนา “ซิกูแรท” ลักษณะคล้ายปิรามิดยุคแรกๆ คือ เป็นชั้นๆ ไม่เรียบ
การที่บาบิโลนมีวิหารรูปซิกูแรท แสดงว่าได้อิทธิพลมาจากชาวสุเมเรียน ที่อาศัยในดินแดนแถบนี้มาก่อน

ซิกูแรทโบสถ์ทางศาสนาของบาบิโลนมีความสูงถึง 300 ฟุต หรือประมาณ 100 เมตรเลยทีเดียว สร้างเป็นชั้นเฉลียง 8 ชั้น มีบันไดเวียนขึ้นไปที่ยอดสูงสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทวสถาน ประชาชนที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์สามารถมองเห็นเทวสถานบนยอดซิกูแรทได้อย่างชัดเจน ผู้สร้างคงมีความหมายให้เทวสถานเชื่อมกับเขตแดนสวรรค์

เกษตรและการชลประทานขั้นสูง ที่สามารถยกสวนพืชไปปลูกบนพระราชวังได้อย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีวิหารสวยงามและพระราชวังอีกหลายแห่งภายในบริเวณตัวเมือง ส่วนชาวบ้านสร้างที่พักด้วยดินอยู่รอบๆเมือง
กรุงบาบิโลนกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าของประชาชนหลายกลุ่มในดินแดนเมโสโปเตเมีย จึงมีการพัฒนาความเจริญอย่างมากและรวดเร็ว มีความรู้ในการนับเลข และบวกเลข ประดิษฐ์สิ่งต่างๆเพื่อใช้คำนวณ เช่น สูตรคูณ และการใช้เลข 10 ซึ่งต่อมาชาวยุโรปได้นำมาใช้ นอกจากนั้นยังมีความรู้ด้านดาราศาสตร์สูงเนื่องจากบริเวณที่ตั้งของกรุงบาบิโลนไม่มีเมฆปิดบัง และเป็นชนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่รู้ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวงมีความแตกต่างจากดาวดวงอื่น จนสามารถทำปฏิทินรุ่นแรกๆของโลกได้ โดยกำหนดให้หนึ่งเดือนมี 28 วัน แยกเป็น 4 สัปดาห์ๆ ละ 7 วัน โดยตั้งชื่อวันตามดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อีก 5 ดวง

ต่อมาชาวโรมันได้เอาแนวความคิดเรื่อง 1 สัปดาห์มี 7 วันจากชาวบาบิโลน และใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ชาวบาบิโลนรู้จักการเขียน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวสุเมเรียน ไม่ใช่เขียนไว้เป็นเรื่องราวร้อยแก้วเท่านั้นแต่ยังเขียนเป็นบทกวีร้อยกรองอีกด้วย มีบทกวีหลายบทเขียนไว้บนแผ่นดินเหนียวซึ่งยังคงหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้ เป็นการผจญภัยของกษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อ กิลกาเมช(Gilgamesh)ที่เดินทางไปต่อสู้กับอสูรจนสุดขอบโลก และทรงดำลึกถึงก้นมหาสมุทร นอกจากนั้นยังเขียนเรื่องราวเทพเจ้าของตนไว้มากมาย รวมถึงเรื่องน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ เชื่อกันว่าต้นเค้าก็มาจากเรื่องเทพนิยายของบาบิโลนนี่แหละ..

อารยธรรมยิ่งใหญ่ของบาบิโลนที่ทิ้งไว้ให้แก่มนุษย์ชาติ สำคัญๆได้แก่ กฏหมายของบาลิโลนที่มีความยุติธรรมและเขียนจารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวซึ่งยังคงเหลือมาถึงทุกวันนี้ โดยกษัตริย์ฮัมมุรัมบี ตรากฏหมายเรื่องต่างๆ เช่น การสมรส โจรกรรม หนี้สิน การจราจรทางน้ำ ค่าจ้างแรงงาน การรักษาคลอง กฏหมายกำหนดราคา ฯลฯ เหล่านี้เป็นกฏหมายที่ยุติธรรมแต่บทลงโทษโหดเหิ้ยม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายที่ดี จนกระทั่งโรมันนำมาใช้ทั่วจักรวรรดิโรมัน และประเทศยุโรปยังเอากฎหมายโรมันมาใช้อยู่ในปัจจุบัน
บาบิโลนและอัสซีเรีย 2 จักรวรรดิของชาวเซไม้ท์ในเมโสโปเตเมียดินแดนแห่งลุ่มน้ำไทกรีส ยูเฟรตีส ได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และทิ้งอารยธรรมไว้แก่โลกก่อนที่จะถูกมหาอำนาจใหม่ในตะวันออกกลาง คือ เปอร์เซีย ได้ทำลายทั้งอัสซีเรีย(ปี 612 ก่อน ค.ศ.) และบาบิโลน (ปี 539 ก่อน ค.ศ.)ทิ้งไว้แต่ซาก…กองดิน…และตำนาน…

สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน การเดินทางไปอิรักไม่สามารถบินตรงเข้าแบกแดก เมืองหลวงของประเทศได้ เพราะอิรักถูกประเทศมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาแซงชั่น จัดชั้นอิรักเป็น “ประเทศอันธพาล” ห้ามติดต่อคบหาสมาคมด้วย การเดินทางไปบาบิโลนจึงต้องผ่านเข้าไปทางประเทศจอร์แดน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกันก่อน 
แล้วนั่งรถข้ามทะเลทรายเข้าไปแบกแดก…

สวนลอยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายจึงเป็นเสมือนสรวงสวรรค์ที่งดงามและชุ่มชื้นท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุ พ่อค้าและผู้ที่เดินทางผ่านมาสามารถมองเห็นสวนลอยได้แต่ไกล เพราะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตมาก บ้างที่เดินทางฝ่าไอแดดท่ามกลางทะเลทรายมาไกลก็ได้อาศัยร่มเงาของสวนลอยเป็นที่พักพิงหลบร้อนให้หายเหนื่อยก่อนออกเดินทางต่อ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันสวยลอยแห่งนี้ได้พังทลายสูญหายไปแล้ว จากกิตติศัพท์ความงดงามอลังการของสวนลอยบาบิโลนจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่มีข้อกังขา

แต่……. แม้สถานที่แห่งนั้นมันจะมีชื่อเสียงเทียบเท่าวิหารของเทพซุส หรือประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย แต่เรื่องราวของสวนนี้ก็ยังเป็นปริศนาลึกลับจนถึงทุกวันนี้ เพราะนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่าสวนลอยนี้มันมีตัวตนจริงเหรอ? หรือมันจะอุปโลกน์ขึ้น โดยสาเหตุที่นักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่าอาคารนี้มันมีตัวตนจริงเหรอก็มีดังนี้

1. ทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบหลักฐานวัตถุหรือโครงสร้างของสวนลอยฟ้าแห่งนี้เลย จริงมีเพียงแต่บันทึกหลักฐานของคนโบราณเท่านั้น โดยหลักฐานเกี่ยวกับบันทึกที่สำคัญที่สุดคืองานนิพนธ์ที่เขียนขึ้นเมื่อ 270 ปีก่อนของเบรอสซุส (Berossus) นักประวัติศาสตร์ เขาเล่าว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงมีบัญชาสร้างสวนนี้เพียง 15 วันเท่านั้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์ใช้บทประพันธ์นี้ในการจำลองภาพสวนลอยฟ้าบาบิโลน
นอกจากนี้ก็มีนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกหลายคนที่บรรยายสวนลอยแห่งนี้ ที่ดังๆ ก็มี ดิโอโดรัส ซิคูลัส (Diodorus Siculus) แต่งสวนใหญ่มีหลายคนที่บรรยายสวนลอยแห่งนี้หลายแบบจนเหมือนกับว่า “พวกเขาเคยไปเห็นสวนนี้กับตาถึงบาบิโลมจริงๆ เหรอ?”

2. นักประวัติศาสตร์บางคนไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริงเพราะถ้ามันมีจริงชาวบาบิโลมจะเอาเทคโนโลยีไหนมาสร้าง เพราะว่าสมมุติเราจะสร้างสวนลอยฟ้าแบบนี้ในปัจจุบันสมมุติว่าจะสร้างกลางทะเลทราย ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี แม้ว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านวัตถุและวิธีสร้างจะกว้างล้ำไกลมาก แต่ปัญหาการจัดการสวนต้นไม้ใหญ่ในอาคารพื้นที่สูงก็ยังเป็นที่ปวดหัวต่อวิศวกรมาตลอด อย่าลืมสิว่าไม้ใหญ่มันมีรากที่สามารถทะลุวัตถุที่แข็งๆ ได้ ขนาดคอนกรีตปัจจุบันอยู่เอามันไม่อยู่แล้วสวนลอยฟ้าโบราณมันจะเอาอยู่เรอะ

3. แล้วพืชที่สวนลอยนี้มันมีชีวิตได้อย่างไง อย่าลืมว่าสวนนี้ตั้งใจกลางทะเลทราย มันต้องการน้ำในปริมาณมหาศาลมาก ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็มีคำตอบครับเขาว่าพระองค์ทรงนำทาสจำนวนมากมายแบกน้ำขึ้นไปรดต้นไม้ในสวนซะเลย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือคือเกลียววิดน้ำหรือเรารู้จักกันดีคือเกลียวของอาร์คีมีดิส(Archimedean Screw) ซึ่งมันถูกค้นพบในอีรักมานานแล้ว และยังมีระบบชลประทานที่ออกแบบอย่างดีอยู่แล้วน้ำจึงไม่ขาด

4. มีบางคนเชื่อว่าสาเหตุที่เราไม่พบซากสวนลอย บางทีสวนนี้อาจไม่มีอยู่จริง หากมีจริงมันอาจเป็นไร่นาขั้นบันไดเท่านั้น โดยมีการแต่งเติมเสริมจริงของคนโบราณ

5.เกี่ยวกับคนสร้าง บางคนไม่เชื่อว่าพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์เป็นคนสร้างแต่เป็นเซนาเฮริบ(Senaherib) ต่างหากที่เป็นคนสร้างสวนนี้ขึ้นมา(100 ปีก่อนหน้านั้น)

6.น่าสนใจที่ว่าจากการตรวจดูศิลาจารึกในยุคของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ปรากฏว่าไม่มีคำไหนกล่าวถึงสวนลอยฟ้าแห่งนี้สักบรรทัด ซึ่งกล่าวแต่พระราชวัง นคร และกำแพงเมืองเท่านั้น ซึ่งแม้แต่นักประวัติศาสตร์กรีกเท่านั้นที่บรรยายสวนลอย ซึ้งบางที่นักประวัติศาสตร์กรีกเหล่านั้นอาจไม่ได้ไปบาบิโลมก็เป็นได้ พวกเขาอาจได้ยินทหารของกษตริย์อเล็กซานเอร์ที่เคยไปเหยียบดินแดนเมโสโปเตเมียและไปเห็นนครแห่งนั้นสวยราวกับสวรรค์จากนั้นพอกับบ้านเกิดเลยเล่าเรื่องสวนสวยของเมโสโปเตเมีย
สิ่งก่อสร้าง……หอคอย……กำแพงเมือง……ทำให้นักกวีและนักประวัติศาสตร์กรีกทั้งหลายเลยเอามาผสมปนเปกันจนเป็นสวนลอยบาบิโลมในที่สุด

7. อนึ่งบางที่ที่ตั้งของสวนลอยอาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากแม่น้ำยูเฟรติสที่คนอื่นว่าเป็นที่ตั้งของสวนลอยนั้นมันอยู่ห่างจากสถานที่สำคัญของนครบาบิโลมหลายร้อยเมตรจนไม่น่าจะเป็นไปได้ว่ามันจะมาสร้างที่นี้เพราะมันห่างไกลจากความเจริญเหลือเกิน

8. ถึงอย่างไรบริเวณสวนลอยนั้นก็ได้รับการซ่อมแซมโดยยึดคำอ้างอิงตามประวัติศาสตร์กรีกเป็นต้นแบบ(ตอนนี้เลิกโครงการแล้วมั้งจากสงครามอิรัก)

9. บางเว็บบอกว่าเจอบ่อน้ำกับซุ้มประตูบางส่วน แต่ความจริงคือผู้เชี่ยวชาญไม่ยอมรับเท่าไหร่ว่ามันคือสวนหนึ่งของสวนลอย และที่บอกว่าทรุดโทรม แต่ความจริงแล้วไม่พบแม้แต่ซากครับ

10. นักโบราณคดีเยอรมันชื่อโรเบิร์ต โคลเดอเวย์ เคยตั้งคำถามไว้เมื่อปีค.ศ.1899 ว่า นครบาเบลในสมัยโบราณนั้นเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโคลนตม จึงไม่เชื่อว่าจะมีสถาปัตยกรรมใดตั้งอยู่ แต่หลักฐานที่ให้เชื่อว่ามันมีอยู่จริงคือการพบห้องใต้ดินของสวนและล้อที่เป็นกลไกชักน้ำจากแม่น้ำเข้าสวน จึงเชื่อว่ามีอยู่จริง

รายการบล็อกของฉัน