Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

แอนนา แอนเดอร์สัน สาวที่โกหกคนทั้งโลก ว่าเธอคือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ

เรื่องราวของ แอนนา แอนเดอร์สัน สาวที่โกหกคนทั้งโลก ว่าเธอคือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ มาติดตามกันว่า เธอโกหกเรื่องเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ได้อย่างไร? แล้วอะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเธอคือเจ้าหญิงกำมะลอ มาหาคำตอบพร้อมๆ กัน

ประวัติเจ้าหญิงอนาสตาเซีย
เจ้าหญิงอนาสตาเซีย (ตัวจริง)มาเริ่มทำความรู้จักประวัติ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย หรือ แกรนด์ดัชเชส อนาสตาเซียแห่งรัสเซีย (Grand.Duchess.Anastasia.Nikolaevna of Russia) มีพระนามเต็มว่า อนาสตาเซีย นิโคลาเยฟนา โรมาโนวา เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 4 ในจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และพระนางอเล็กซานดรา แห่งราชวงศ์โรมานอฟ แห่งรัสเซีย

จุดเริ่มต้นที่มา ของแอนนา แอนเดอร์สัน

แอนนา แอนเดอร์สัน
หลังการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียที่ปกครองมายาวนานกว่า 300 ปี  โศกนาฏกรรมของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 และสมาชิกเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด รวมถึงเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ถูกจองจำก่อนจะถูกปลงพระชนม์ด้วยการยิงเป้า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่พบร่างของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ในขณะเดียวกันมีการพบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่กำลังพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ได้รับการช่วยเหลือจากพลเมืองดีคนหนึ่งซะก่อน ซึ่งเมื่อช่วยสำเร็จ จึงได้สอบถามข้อมูลต่างๆ แต่หญิงสาวคนนั้นกลับไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร จนมีหลายคนเริ่มทักว่าเธอมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์โรมานอฟ จู่ๆ เธอจึงยอมรับว่า “ฉันคือเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ผู้รอดตาย”
จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย
และสมาชิกเชื้อพระวงศ์

การโกหกคนทั้งโลก
เจ้าหญิงอนาสตาเซีย (ซ้าย) 
แอนนา แอนเดอร์สัน (ขวา)
แอนนา หรือที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย เธอเล่าให้ผู้คนฟังว่า เธอถูกสังหารพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องจริง แต่ที่รอดมาได้นั้น เป็นเพราะกระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ จึงทำให้เธอแค่สลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้พบกับทหารหนุ่มนายหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มบอลเชวิค เขาสงสารเธอจึงแอบดูแลเธออย่างลับๆ และใช้ชีวิตด้วยกันจนมีลูกชายหนึ่งคน เธอได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ  แอนนา ไชคอฟสกี้แต่หลังจากนั้นสามีของเธอก็ได้เสียชีวิตในสงคราม เธอตัดสินใจทิ้งลูกไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และคิดที่จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

แอนนาโป๊ะแตก!
สิ่งที่ทำให้การโกหกของแอนนาต้องชะงัก คือเรื่องที่จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย สมัยยังทรงครองราชย์ ได้ฝากเงินก้อนโตไว้ในธนาคารนอกประเทศ โดยเป็นเงินมากถึง 20 ล้านรูเบิลส์ ซึ่งถ้าแอนนาสามารถพิสูจน์ต่อศาลได้ว่า เธอคือองค์หญิงผู้รอดตายจริงๆ เธอจะได้รับเงินส่วนนี้ไปครอบครอง เรื่องนี้ทำให้เจ้าชายเออเนสต์ หลุยส์ แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์ ที่ทรงเป็นพระปิตุลาแท้ๆ ของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ได้จ้างนักสืบฝีมือดี ให้ตามสืบเรื่องของหญิงสาวผู้แอบอ้างรายนี้ ว่าจริงๆ แล้วหญิงสาวผู้นี้คือใคร เพราะหน้าไม่เหมือนกับหลานของตน

ที่แท้แอนนา มีชื่อจริงๆ ว่า
ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า
นักสืบ สามารถสืบจนทราบว่า ชื่อจริงของเธอก็คือ ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งในโรงงานอุตสาหกรรม หญิงสาวรายนี้ได้หายตัวไปในวันเดียวกับ วันที่มีคนช่วยเธอจากการกระโดดน้ำ จากหลักฐานนี้ทำให้เธอไม่มีสิทธิ์ในเงินจำนวนนี้
แต่เมื่อเรื่องราวของเธอได้รับความสนใจน้อยลง เธอจึงย้ายจากไปอยู่ที่อเมริกา และเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เป็น “แอนเดอร์สัน” แถมได้แต่งงานใหม่กับชายวัยกลางคนชาวอเมริกันคนหนึ่ง แต่แล้วสุขภาพของเธอย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายเธอได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 อายุ 87 ปี จากโรคปอดบวม

สิ่งที่พิสูจน์แอนนาเป็นเจ้าหญิงกำมะลอ
เหมือนเรื่องราวจะจบหลังแอนนาจากไป แต่ทางการก็ได้ออกค้นหากระดูกของราชวงศ์โรมานอฟ เพื่อนำมาประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ ในเดือนมกราคม 2008 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้พบซากศพตอตะโกสองร่าง เป็นร่างเด็กชายหนึ่ง และเด็กหญิงอีกหนึ่ง พร้อมยืนยันว่า ร่างทั้งสองนั้นเป็นพระศพพระโอรส
(อะเลกเซย์ นีโคลาเยวิช) และพระธิดาที่เคยค้นหากันไม่เจอ

จึงทำให้ต้องมีการพิสูจน์ว่า แล้ว แอนนา แอนเดอร์สัน เธอคือใคร?  นักวิทยาศาตร์จึงได้นำปอยผมที่สามีของแอนนาได้เก็บเอาไว้ มาเปรียบเทียบกับ DNA ของโครงกระดูกที่พบ ผลพิสูจน์ออกมาว่า DNA ของแอนนาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์เลย แต่ดันไปตรงกับหญิงสาว ฟรานซิสก้า ซานคอสก้า ที่ได้หายตัวไปนั่นเอง!

เรื่องราวของ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Anastasia(1956) อีกด้วย

ปริศนาเรือโนอาห์ Noah Ark


ตำนานเรื่องเล่าขาน ปริศนาเรือโนอาห์
ในพระคัมภีร์ของสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางอันได้แก่ ศาสนา จูเดอิซึ่ม คริสต์ อิสลาม ได้ปรากฏเรื่องราวของเหตุการณ์อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชื่อของ โนอาห์ ( Noah) ยังคงถูกจารึกและเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้เรื่องราวนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับชนรุ่นหลังว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงเช่นนั้นจริงหรือไม่? เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใด

ตำนานเรื่องเล่าขาน ปริศนาเรือโนอาห์
ดร. โรเบิร์ต บัลลาร์ด ( Dr. Robert Ballard ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจใต้ท้องทะเล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ โดยการค้นพบซาก เรือไททานิค (Titanic) ที่จมสงบนิ่งอยู่ ณ พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean)ได้เดินทางมายัง ทะเลดำ (Black Sea) ตามคำเชิญชวนอันแสนเย้ายวนใจของผืนน้ำที่ได้ซุกซ่อนความลับเอาไว้อย่างมากมาย

การเดินทางของ ดร. บัลลาร์ด เริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะค้นพบซากเรือไม้โบราณที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่อย่างสมบูรณ์ภายใต้น้ำทะเลที่เป็นพิษด้วยไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ ปลวกแห่งทะเล จอมทำลายเนื้อไม้ซึ่งจะกัดกินทุกอย่างที่เป็นสิ่งชีวภาพ  แรงปรารถนาของ ดร. บัลลาร์ด ได้ถูกจุดประกายโดยหนังสือของนักสมุทรศาสตร์ที่มีนามว่า วิลลาร์ด บาสคอม (Willard Bascom) ซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบอันสุดแสนพิเศษของ ทะเลดำ ไว้ในหนังสือเล่มนั้น

แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่นาน ความสนใจของ ดร. บัลลาร์ด ก็ถูกหันเหไปโดยหนังสือของสองนักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ ที่มีนามว่า วิลเลี่ยม ไรอัน และวอลเตอร์ พิทแมน ซึ่งได้นำเสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของทะเลดำแห่งนี้
ปริศนาเรือโนอาห์
ทฤษฎีจุดกำเนิดของทะเลดำ ว่า
– ทะเลดำ แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

– ซึ่งผู้ที่รอดชีวิตก็ได้บอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้นสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

– ซึ่งก็คือเรื่องราวของ โนอาห์ และเรือของเขา

ไรอัน และ พิทแมน ได้สันนิษฐานถึง การเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคน้ำแข็งสุดท้าย เมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน พวกเขาได้ค้นพบตำนานที่มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโนอาห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในตะวันออกกลาง ก่อนที่เรื่องของโนอาห์จะถูกบันทึกไว้เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล

ก่อนหน้าการบันทึกตำนานเรื่องโนอาห์ราว 1 พันปี ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ได้บันทึกมหากาพย์เรื่อง กิลกาเมช (Gilgamesh) และมีการบรรยายถึงอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในเรื่อง กิลกาเมช ได้พบกับผู้รอดชีวิตจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ได้รับคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะมีน้ำท่วมเกิดขึ้น, จงเร่งสร้างเรือ, ให้นำครอบครัว และฝูงสัตว์มาไว้ที่เรือ และอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยฝนและลมพายุ ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นผู้รอดชีวิต อันได้แก่ ครอบครัว และเรือของเขา รวมถึงเหล่าสรรพสัตว์ที่ได้โดยสารมาบนเรือด้วย
ปริศนาเรือโนอาห์
เราจะเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องราวของ กิลกาเมช และ โนอาห์ ซึ่งต่างก็กล่าวถึงชายที่ถูกสั่งให้สร้างเรือขนาดใหญ่ และนำสัตว์ขึ้นไปไว้บนเรือ, อุทกภัยที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงน้ำท่วมที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องของการปล่อยนกพิราบ สิ่งนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้ ไรอัน และ พิทแมน ให้ความสนใจกับทะเลในแถบตะวันออกกลาง โดยครั้งนี้ได้พุ่งเป้ามาที่ ทะเลดำ

ไรอัน และ พิทแมน เคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ในปีคริสตศักราช 1993 ในการเดินทางไปตรวจสอบทะเลดำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขา ได้พบสิ่งที่ยืนยันว่า ทะเลดำซึ่งแต่เดิมเป็น ทะเลสาบน้ำจืด ที่มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน ซึ่งในยุคน้ำแข็งสุดท้าย แผ่นดินนั้นอุ่นขึ้น จึงทำให้ทะเลสาบเหือดแห้งลงไป และได้ทิ้งคราบไว้ นั่นก็คือ การพบคราบดังกล่าวที่ความลึกลงไป 90 เมตร, 110 เมตร และลึกที่สุดอยู่ที่ 156 เมตร ใต้ท้องทะเลดำ
ปริศนาเรือโนอาห์
นอกจากนี้ เขายังพบหลักฐานการปรากฏตัวของสัตว์น้ำเค็ม ในที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดอีกด้วย ผลจากการพิสูจน์นั้นแสดงออกมาว่า หอยน้ำเค็ม ล้วนแต่ปรากฏตัวขึ้นทุกระดับความลึกของทะเลดำ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือเมื่อ 7,600 ปีก่อนจากทฤษฎีของ ไรอัน และ พิทแมน ก็ทำให้ภารกิจของ ดร. บัลลาร์ด ณ ทะเลดำแห่งนี้มีถึง 2 ภารกิจด้วยกันนั่นก็คือการค้นหาหลักฐานของการที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และการค้นหาซากเรือโบราณ

เขาเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวชายฝั่งเก่าแก่ ด้วยการใช้โซน่าร์กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยมีเป้าหมายในการค้นหารูปแบบของสิ่งก่อสร้าง โครงสร้าง หรือรั้ว และอื่นๆ ที่จะดึงดูดให้เข้าไปค้นหาเพิ่มเติม

แล้วเขาก็ได้รับสัญญาณเสียงสะท้อนโซนิก ตรวจพบวัตถุที่ก้นทะเล เขาจึงตัดสินใจหย่อน อาร์กัส (Argus) ซึ่งเป็นกล้องเคลื่อนที่ลงไป และ ดร. บัลลาร์ด พร้อมทั้งทีมงานก็ได้เห็นชิ้นส่วนของไม้ที่อยู่ลึกลงไป 100-155 เมตร พร้อมทั้งซากของสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะที่พักอาศัยฝีมือมนุษย์

ดร. บัลลาร์ด ไม่ได้คาดหวังที่จะพิสูจน์เรื่องราวในพระคัมภีร์ หากแต่ว่าเขากำลังตามรอยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทว่า ถ้าเขาสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้คนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะถูกน้ำท่วม สิ่งนี้ก็จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขา
ปริศนาเรือโนอาห์
หลังจากการส่ง อาร์กัส ลงสู่พื้นทะเลแล้ว ดร. บัลลาร์ด ตัดสินใจส่งยานดำน้ำที่ไม่มีคนบังคับชื่อ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ( Little Herc )  ลงไปเพื่อถ่ายภาพที่มีความคมชัดเป็นพิเศษและก็อาจจะเก็บตัวอย่างดินมาได้ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากการถ่ายทอดของ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ก็ได้เผยให้เห็นถึงรายละเอียดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ จากนั้นก็ได้เก็บเอาดินขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทางด้านโบราณคดี รวมทั้งซากชิ้นส่วนไม้ที่พบด้วย และความพยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ เพราะผลจากการตรวจสอบดินนั้น ยืนยันแนวคิดที่ว่า เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนไม้นั้นจะเป็นของในยุคใหม่อายุราว 200 ปีก่อน

รายการบล็อกของฉัน