Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปริศนาข้ามกาลเวลา

💥ปริศนาข้ามกาลเวลา! เมื่อสาวคนหนึ่งขับรถกลับบ้านเกิดกลับกลายเป็นเมืองร้าง แต่เมื่อเธอกลับมาอีกครั้งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม 

ค้นหา
Custom Search
หลายคงคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าโลกของเรานั้นมีอยู่หลายมิติ อีกฟากของมิตินั้นอาจมีตัวเราใช้ชีวิตอยู่ แม้จะเป็นที่ถกเถียงและยังหาข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดไม่ได้ แต่คนบางคนนั้นได้พบกับประสบการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ หรือนี่จะเป็นการเดินทางข้ามมิติที่เรากำลังสงสัยอยู่?

👉ในปี 2006 สาวรายหนึ่งชื่อ 
แคโรล เชส แมคเอลเฮนีย์ 
(Carol Chase McElheney) ได้ใช้วันหยุดพักผ่อนที่เพอร์ริส (Perris) 
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนจะใช้เส้นทางมุ่งหน้ากลับบ้านที่เมืองซานเบอร์นาดิโน (San Bernardino) เธอได้ผ่านย่านริเวอร์ไซด์เมืองที่เธอเติบโตมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก 
เธอจึงตัดสินใจที่จะแวะไปเยี่ยมชมบ้านเก่าและทักทายเพื่อนบ้านที่รู้จัก รวมถึงหลุมศพของตายายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้

😳แต่ทันทีที่เธอขับรถเข้ามาในริเวอร์ไซด์ ทุกอย่างที่เธอเคยจำได้เกี่ยวกับเมืองนี้นั้นหายไปหมดเลย 

ที่ตั้งของถนนและต้นไม้ใหญ่นั้นเหมือนเดิม แต่บ้านเก่าของเธอและเพื่อนบ้านในช่วงวัยเด็กนั้นหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ แม้ที่ตั้งของวิทยาลัยที่เธอเคยเรียน อาคารสำนักงานบางแห่งจะยังอยู่ที่เดิมอย่างที่เธอจำได้...
 
👉แต่ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปหมด บ้านเหล่านั้นดูเก่าเกินกว่าช่วงเวลาที่เธอย้ายไปจากที่นี่ จากนั้นเธอจึงไปหาสุสานของตายาย ซึ่งก็พบว่าสุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นสุสานร้างที่สกปรกมาก ต้นไม้ปิดบังทางเดินจนหมด สาวรายนี้จึงตัดสินใจวนรถออกจากเมืองมุ่งหน้ากลับบ้านในทันทีพร้อมด้วยความสงสัยมากมายที่อยู่ในหัว แต่ก็ไม่ได้บอกใครเพราะทุกอย่างนั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

👉จนกระทั้งไม่กี่ปีถัดมา แคโรลก็มาเสียคุณพ่อไป สุสานของครอบครัวเธอนั้นตั้งอยู่ที่ริเวอร์ไซด์ เธอจึงนำร่างของพ่อกลับไปฝังร่วมกับบรรพบุรุษคนอื่น ๆ ความรู้สึกแรกที่เธอมาถึงเมืองนี้มันกลับไม่ใช่ภาพที่เดียวกับหนล่าสุดที่เธอมา ภาพทุกอย่างล้วนเป็นภาพที่มาจากย่านที่เธอโตมาอย่างแท้จริง... 
เมืองแห่งนี้คือเมืองที่เธอเกิดและโตมาทุกอย่างที่จำได้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างไม่น่าเชื่อ บ้านเก่าของเธอบ้านเพื่อนของเธอยังมีลักษณะไม่ต่างจากเดิม อาคารก็ไม่ได้เก่าและโทรมอย่างที่เธอพบเมื่อหลายปีก่อนเลยซักนิด...
แล้วสิ่งที่เธอพบนั้นมันคืออะไร นี่อาจมีเพียงคำตอบเดียว เธอเชื่อว่าเธออาจหลงทางข้ามมิติไปยัง โลกคู่ขนานที่มีลักษณะเหมือนกับเมืองแห่งนี้
เรื่องราวของเธอถูกนำมาพูดถึงกันในกลุ่มผู้เชื่อเรื่องการเดินทางข้ามเวลา แม้จะไม่มีหลักฐานใดที่ยืนยันคำพูดของเธอได้ แต่เรื่องนี้ก็มักจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลามาโดยตลอด...

ปรากฏการณ์สุดแปลก ฝนเนื้อ

👽ปรากฏการณ์สุดแปลก! ‘ฝนเนื้อ’ เมื่อวัตถุคล้ายเนื้อสัตว์โปรยปราย
ลงมาจากฟากฟ้าดั่งสายฝน เกิดขึ้นได้ยังไง? นักวิทย์มีคำตอบ...
ค้นหา
Custom Search
“ฝนเนื้อ” เหตุการณ์ประหลาดเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1876 ในเมืองบาธคันทรี รัฐเคนตักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุที่มีลักษณะคล้ายเนื้อสัตว์ตกลงมาจากท้องฟ้าในพื้นที่แห่งหนึ่ง จนชาวบ้านต่างและนักข่าวแตกตื่นบางคนก็มาเพื่อชิมเนื้อปริศนานี้ ..

แต่คำถามคือ “เนื้อสัตว์” เหล่านี้มาจากไหน แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? เรามาดูกัน

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เพียงคนเดียวคือ Allen Crouch เธอเล่าเหตุการณ์นี้ให้กับนักข่าวฟังว่า เวลาประมาณเที่ยง เธอได้เดินออกจากบ้านผ่านบริเวณลานกว้าง ในช่วงเวลานั้นมีลมพัดอ่อนๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีวี่แววของฝนหรือพายุแม้แต่น้อย แต่เพียงไม่กี่ก้าวหลังเดินออกจากบ้าน เนื้อปริศนาก็เริ่มตกลงมาจากฟ้าทีละน้อย เธอได้ยินเสียงตกกระทบของวัตถุบางอย่าง ก่อนมันจะตกลงมา
ดั่งฝนตกทั่วร่างกายของเธอเลอะไปด้วยเนื้อสัตว์ 

แต่เพียงครู่หนึ่งมันก็หยุดทำให้บริเวณดังกล่าวก็ปกคลุมไปด้วยเศษเนื้อปริศนา จากท้องฟ้า เนื้อเหล่านี้
มีขนาดแตกต่างกันไป ใหญ่สุดก็ราวฝ่ามือของคน 

ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเศษเล็กๆ คล้ายกับหิมะ หลายชั่วโมงถัดมาเนื้อเหล่านี้ก็เริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ชาวบ้านสองคนในเมืองดังกล่าวอาสาเป็นผู้ที่ลิ้มรสเนื้อปริศนาเหล่านี้ หลังชิมพวกเขาก็บอกว่า 
“มันมีรสชาติคล้ายกับเนื้อกวางและเนื้อแกะ”

ต่อมาไม่นาน Leopold Brandeis นักวิชาการรายหนึ่งที่ได้นำตัวอย่างจากฝนเนื้อไปทำการตรวจสอบออกมาเผยว่า “นี่ไม่ใช่เนื้อสัตว์! 
แต่มันคือ Nostoc (ไซยาโนแบคทีเรียหรือสาหร่ายเขียวแกมน้ำเงิน) มันเป็นสิ่งที่กินได้และมีรสชาติคล้ายกับเนื้อไก่หรือกบ

” เกิดจากการจับตัวกันของแบคทีเรียในก้อนเมฆจนเป็นวุ้นก่อนตกลงมาจากท้องฟ้าที่มีเรียกว่า “Star Jelly” ไม่ใช่เนื้อสัตว์อย่างที่หลายคนเข้าใจ
แต่จากการตรวจสอบเพิ่มเติม Mead Edwards นักชีววิทยากลับพบว่า
มันเป็นเศษของเนื้อสัตว์จริงๆ 

ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเนื้อเยื่อบริเวณปอดของม้า ที่คล้ายคลึงกับเนื้อทารกมนุษย์ ทำให้นักชีววิทยาอีกหลายคนเข้ามาวิเคราะห์เนื้อนี้กันอย่างจริงจัง จนพบว่าฝนเนื้อเหล่าคือ ชิ้นส่วนปอดของม้า กระดูกอ่อนของสัตว์ และกล้ามเนื้อของสัตว์บางชนิดที่ปะปนกันอยู่
Star Jelly
แล้วมันไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร? คำอธิบายที่ดูจะมีความเป็นไปได้นั้นเกิดขึ้นจาก “อ้วกของแร้งดำ” นักวิชาการกลุ่มหนึ่งเชื่อว่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากกลไกการป้องกันตัวของแร้งดำ สัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่กินจุมาก 

โดยล่าลูกกวาง, ลูกม้า ฯลฯ เป็นอาหาร จึงเป็นไปได้ว่ากลไกนี้เกิดขึ้นเมื่อมันถูกคุกคามจากสัตว์ชนิดอื่นๆ มันจึงอ้วกออกมาขณะบินบนท้องฟ้าเพื่อให้บินเร็วขึ้นและเพื่อความคล่องตัวมากขึ้นนั่นเอง

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ธาตุในตำนาน ศิลานักปราชญ์สสารที่เปลี่ยนเหล็กให้เป็นทอง

😬ธาตุในตำนาน ‘ศิลานักปราชญ์’ สสารที่เปลี่ยนเหล็กให้เป็นทอง มอบความอมตะให้กับผู้ค้นพบ เรื่องจริงหรือเพียงแค่นิทาน?
ค้นหา
Custom Search
หากใครเคยอ่านมังงะหรือชมอนิเมะจากญี่ปุ่นเรื่อง “แขนกลคนแปรธาตุ” หรือ “Fullmetal Alchemist” ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า “ศิลานักปราชญ์” กันเป็นอย่างดี เพราะในเรื่องราวของ Fullmetal Alchemist นั้นจะกล่าวถึงศิลานักปราชญ์ว่าเป็นสสารลึกลับที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างมนุษย์หรือการช่วยให้ผู้ที่ครอบครองศิลานักปราชญ์สามารถกลับมาเป็นหนุ่มสาวและมีชีวิตยืนยาวได้

เรื่องราวของศิลานักปราชญ์นั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงความเชื่อในการ์ตูนเพียงเท่านั้นหากแต่มันเป็นความเชื่อของนักเล่นแร่แปรธาตุในยุคที่ศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุเฟื่องฟู โดยศิลานักปราชญ์นั้นเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุเชื่อกันว่ามันคือสสารที่เป็นที่สุดแห่งวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ผู้ใดครอบครองก็สามารถที่จะนำมันมาใช้ในการเปลี่ยนโลหะธรรมดาให้กลายเป็นทองคำ หรือแร่เงินบริสุทธิ์ได้

สามารถที่จะใช้แทนเชื้อเพลิงในการจุดไฟเพื่อให้แสงสว่างได้ ซึ่งไฟที่ได้จากการใช้ศิลานักปราชญ์สร้างนั้น ไฟจะลุกไม่มีวันดับไปตลอดกาล อีกทั้งยังสามารถที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับพืชที่เหี่ยวแห้งให้กลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้งได้ในพริบตา แถมยังเชื่อกันไปถึงขนาดที่ว่าศิลานักปราชญ์นั้นสามารถที่จะมอบความอมตะให้กับผู้ที่ค้นพบมันได้ ดังนั้นจึงมีความพยายามในการค้นหาศิลานักปราชญ์

ตามตำราของนักเล่นแร่แปรธาตุมีระบุไว้ว่าศิลานักปราชญ์นั้นจะมีสองแบบ ได้แก่สีขาวที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นเงิน สีแดงใช้สำหรับเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นทอง ศิลานักปราชญ์ทั้งสองแบบนั้นจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผลึกโปร่งใสเหมือนแก้ว สามารถตีให้เป็นแผ่นบางๆ มีน้ำหนักหนักกว่าทองและสามารถละลายในน้ำได้แต่จะไม่ติดไฟ ศิลานักปราชญ์สีแดงนั้นถือว่าเป็นศิลานักปราชญ์ที่สมบูรณ์ที่สด
ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ไม่พบว่ามีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ได้ว่ามีผู้ใดค้นพบศิลานักปราชญ์ได้อย่างแท้จริง แต่ก็เพียงข่าวลือที่บันทึกไว้ว่าชายนามว่า “Nicolas Flamel” นักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสนั้นค้นพบวิธีในการสร้างศิลานักปราชญ์ โดย Nicolas และภรรยานั้นได้นำศิลานักปราชญ์มาละลายกับน้ำและดื่มมันเข้าไปจนทั้งสองคนนั้น
เป็นอมตะ และเสกทองขึ้นมาจนตนเองนั้นมีฐานะร่ำรวยและได้บริจาคสร้างโบสถ์ต่างๆ มากมายจนมีผู้สงสัยในความร่ำรวยของทั้งสองคน ต่อมาทั้งคู่ก็เสียชีวิตไป ซึ่งก็มีเสียงร่ำลืออีกว่าเป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในทางวิทยาศาสตร์นั้นยังไม่พบกับสิ่งที่มีความใกล้เคียงกับ “ศิลานักปราชญ์” เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวของ Nicolas Flamel จึงกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่เหมือนกับนิทานฟังสนุกๆ พอให้ตื่นเต้นไปเท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ว่านเจินเอ๋อ ตำนานรักกินเด็กแห่งราชวงศ์หมิง


🧙‍♂️ว่านเจินเอ๋อ : ตำนานรัก”กินเด็ก”แห่งราชวงศ์หมิง
“กินเด็ก” ศัพท์แสลงที่มักใช้กับคู่รักที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า มีคำพูดแบบติดตลกสมัยนี้ที่ว่า “กินเด็ก รสหวาน รับประทานง่าย” จริงเท็จแค่ไหนผู้เขียนไม่ทราบได้

แต่ถ้าถาม ว่านเจินเอ๋อ นางคงตอบว่า รับประทานง่ายจริงๆ และยังทำให้นางกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือใครในแผ่นดินมาแล้ว

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง 
จูเจี้ยนเซิน 朱见深 เดิมทีเป็นองค์รัชทายาทของพระเจ้าอิงจง แต่เมื่อพระเจ้าอิงจงถูกพวกมงโกลจับตัวไป ภายในราชสำนักก็เกิดความเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอาขึ้นครองราชย์แทนเป็นพระเจ้าจิ่งตี้ จูเจี้ยนเซินที่ยังเป็นทารกวัยเพียง 2 ปี จึงกลายเป็นองค์ชายน้อยตกอันดับ ต้องอยู่ภายในวังอย่างเจียมตน และในระหว่างนี้เองผู้ที่ประคบประหงมเลี้ยงดูองค์ชายน้อยจูเจี้ยนเซินคือนางกำนัลฝ่ายในวัย 19 ปีที่ชื่อ ว่านเจินเอ๋อ 万贞儿ว่านเจินเอ๋อ พระสนมว่านหวงกุ้ยเฟย

ว่านเจินเอ๋อ เข้าวังตั้งแต่อายุ 4 ปี เป็นเพียงนางกำนัลฐานะต่ำต้อย โชคดีที่นางได้รับหน้าที่เลี้ยงดูองค์ชายน้อยจูเจี้ยนเซินตั้งแต่เขายังเป็นทารก หลังเหตุความวุ่นวายภายในราชสำนักที่ทำให้จูจี้ยนเซินถูกปลดจากการเป็นไท่จื้อรัชทายาท จนกระทั่งพระบิดาหมิงอิงจงกลับประเทศกู้บัลลังก์ จะในยามร้ายหรือดีทั้งจูเจี้ยนเซินและว่านเจินเอ๋อก็ผูกพันไม่เคยเหินห่าง ในสายตาของจูเจี้ยนเซินมองว่านเจินเอ๋อเป็นเสมือนแม่ เสมือนพี่สาว แต่นานวันเข้า เมื่อจูเจี้ยนเซินเจริญวัย ความผูกพันของทั้งคู่กลับกลายแปรผันเป็นความรักฉันชู้สาว เป็นรักที่มีวัยห่างกันถึง 17 ปี!

ปีคริสตศักราช 1464 หมิงอิงจงฮ่องเต้สวรรคต จูเจี้ยนเซิน พระชนมายุ 17 พรรษาขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติราชวงศ์หมิง เป็นพระเจ้าหมิงเสี้ยนจง 明宪宗 รัชศกเฉิงฮว่า อย่างแรกที่พระองค์อยากทำใจจะขาดคือ ยกว่านเจินเอ๋อ นางในดวงใจคนต่างวัย ขึ้นเป็นพระมเหสี แต่ก็ถูกคัดค้านทั้งจากพระราชชนนีโจว และบรรดาขุนนางผู้ใหญ่
ด้วยว่านเจินเอ๋อชาติตระกูลต่ำต้อย เป็นเพียงนางกำนัล ที่สำคัญ “แก่กว่าฮ่องเต้”

พระเจ้าหมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้
แต่เหมือนฟ้าเล่นตลก สองปีต่อมา ว่านเจินเอ๋อ ที่ตอนนี้มีอายุถึง 38 ปีแล้ว กลับตั้งครรภ์ ให้กำเนิดองค์ชายกับหมิงเสี้ยนจง นี่ยิ่งทำให้หมิงเสี้ยนจงทรงหลงรักนางมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทรงแต่งตั้งว่านเจินเอ๋อ เป็นพระสนมว่าน “ว่านหวงกุ้ยเฟย” แม้เวลานั้นจะมีฮองเฮา และพระสนมอื่น ทว่า ผู้ที่กุมอำนาจในราชสำนักฝ่ายในที่แท้จริงคือ ว่านหวงกุ้ยเฟย พระสนมกินเด็กผู้นี้

แต่องค์ชายที่ประสูติจากพระสนมว่าน ไม่ถึงหนึ่งขวบปีก็สิ้นพระชนม์ ทำให้พระสนมว่านเสียใจอย่างหนัก

จากโศกเศร้ากลายเป็นเคียดแค้นชิงชัง ไม่อยากเห็นใครได้ดีกว่า ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าสนมคนใดถวายงานแล้วมีครรภ์มังกรให้โอรสกับฮ่องเต้ เป็นต้องถูกกำจัดให้พ้นทาง ค.ศ.1469 สนมป๋อให้กำเนิดพระโอรส ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แต่ต่อมาไม่นาน องค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์อย่างเป็นปริศนา ทั้งวังหลวงต่างรู้ดีแก่ใจว่าเป็นฝีมือของพระสนมว่าน แต่ไม่มีใครกล้ากราบทูลความจริงให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เพราะพระสนมว่านไม่เพียงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ยังเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงเกรงพระทัยเป็นอย่างมาก เรียกง่ายๆ ว่าฮ่องเต้ “กลัวเมีย” นั่นเอง

นับแต่นั้นหมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้ก็กังวลแต่เพียงตัวเองจะไร้รัชทายาทสืบราชบัลลังก์ ปล่อยปละละเลยเรื่องบ้านเมือง ปล่อยให้ว่านเจินเอ๋อหรือพระสนมว่าน กับ บรรดาขันทีขึ้นมามีอิทธิพล ยึดอำนาจทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน บ้านเมืองระส่ำระสาย วุ่นวายไปทั่ว

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ...
แม้พระสนมว่านจะพยายามกำกับควบคุมฮ่องเต้เต็มที่ แต่ก็มีคราวหนึ่งที่หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้หนุ่มได้พบกับนางจี้ซื่อ นางในที่มีพื้นเพเป็นคนมณฑลกวางสี นางจี้ซื่อถวายงานเพียงครั้งเดียวก็มี“สายเลือดมังกร” ให้ฮ่องเต้

ค.ศ.1470 นางจี้ซื่อก็ให้กำเนิดพระโอรส ฮ่องเต้ยังไม่ทันรู้ แต่ข่าวเข้าหูพระสนมว่านก่อนแล้ว นางสั่งให้ขันทีจางหมิ่นรีบชิงตัวทารกไปถ่วงน้ำ ขันทีจางหมิ่นไม่เพียงไม่ทำตามคำสั่ง ยังช่วยซ่อนราชโอรสองค์น้อยไว้ให้พ้นเงื้อมมือสนมโฉด ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ “กินเด็ก” แต่ยังจะ “ฆ่าเด็ก” จริงๆ เสียด้วย !!!

ห้าปีต่อมา หมิงเสี้ยนจงที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ยังทรงจมอยู่กับความทุกข์ที่ไร้รัชทายาท ขันทีจางหมิ่นตัดสินใจรวบรวมความกล้าทูลความจริงว่า ยังทรงมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง หมิงเสี้ยนจงรีบให้นำพระโอรสและนางจี้ซื่อเข้าเฝ้า ตั้งพระนามโอรสว่า จูโหย่วถัง 朱祐樘 (ต่อมาจะขึ้นเป็นพระจักรพรรดิหงจื้อ หมิงเสี้ยวจง ฮ่องเต้ดีพระองค์หนึ่งของราชวงศ์หมิง)

👉เรื่องนี้ แม้หมิงเสี้ยนจงจะไม่กล้าลงโทษพระสนมว่าน คู่รักต่างวัย แต่พระสนมว่านกลับไม่ปล่อยศัตรู นางวางยาพิษฆ่านางจี้ซื่อ ขันทีจางหมิ่นรู้ว่าความตายใกล้ถึงตัวก็กลืนก้อนทองฆ่าตัวตาย แต่เงื้อมมืออันเลวร้ายของพระสนมก็เอื้อมไปไม่ถึงพระโอรสจูโหย่วถัง ไม่นานเกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณภูเขาไท่ซาน หนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินจีน โหรหลวงทำนายว่าเป็นเพราะ “เรื่องรัชทายาทไม่นิ่ง” หมิงเสี้ยนจงจึงกล้าขัดใจพระสนมว่านตั้งจูโหย่วถังขึ้นเป็นองค์ไท่จื้อรัชทายาท
เดือนหนึ่ง รัชศกเฉิงฮว่าปีที่ 23 (ค.ศ.1487) พระสนมว่านก็ล้มป่วยและถึงแก่ความตายในที่สุด มีอายุได้ 59 ปี เมื่อทรงทราบข่าวการตายของพระสนมว่าน หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้เอ่ยพระโอษฐ์ว่า

“สนมว่านไม่อยู่ในโลกนี้ เห็นทีข้าเองก็อีกไม่นานแล้ว” “万氏长去,吾亦安能久矣。”
และก็เป็นจริงตามนั้น เดือนแปดปีเดียวกันนั้นเอง หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้ก็สวรรคตตามนางอันเป็นที่รักไปด้วยพระชนมายุเพียง 41 พรรษา
ว่านเจินเอ๋อ นางมีอะไรดีที่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งหลงรักได้ถึงเพียงนี้?
ไม่มีใครล่วงรู้คำตอบ และเป็นอันปิดฉากตำนานรัก “กินเด็ก” แห่งวังต้องห้ามในราชวงศ์หมิงไปในที่สุด

6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

🔜6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่?
ค้นหา
Custom Search
อย่างที่รู้กันว่า มนุษย์เรานั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และแน่นอนว่าคนในแต่ละยุคสมัยก็ล้วนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้มีการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ วัตถุหรือข้าวของเครื่องใช้หน้าตาแปลกๆ มากมายในอดีตยังคงมีให้พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน

ในหลายๆ ครั้ง คนมักตั้งคำถามว่าสิ่งได้ค้นพบเหล่านั้นมันคืออะไร และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีไว้เพื่ออะไร แต่บางครั้งมันก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ทุกอย่างเสมอไป อย่างเช่น 6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่? ที่เราได้นำมาฝากเพื่อนๆ ให้ได้ชมกัน
1️⃣. หินยักษ์ทรงกลมของ 
Costa Rica
หินยักษ์เหล่านี้ถูกค้นพบช่วงปี 1930 ตามตำนานท้องถิ่นเล่าว่า มันมีทองคำซ่อนอยู่ภายใน เมื่อลองนำหินมาระเบิดกลับไม่พบอะไรอยู่ภายในเลย ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร และทำไมต้องปั้นเป็นลูกกลมๆ แบบนี้ แต่มีการคาดเดาว่ามันอาจเป็นเครื่องหมายระหว่างเขตแดนของชนเผ่าต่างๆ
2️⃣. แบตเตอรี่แบกแดด
สิ่งประดิษฐ์นี้ถูกค้นพบปี 1930 บริเวณใกล้ๆ กรุงแบกแดด มีลักษณะเป็นขวดสูง 13 ซม. มีแกนเหล็กยื่นออกมาที่ปากขวด มีกระบอกทองหุ้มอยู่และมีเหล็กด้านในอีกแท่ง จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า มันคือแบตเตอรี่เก่าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1 โวลต์ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้พลังงานจากแท่งทองที่อยู่ภายใน
3️⃣. ต้นฉบับของ Voynich
Voynich อาจเป็นหนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก เพราะผู้เขียนใช้ภาษาที่อ่านยากและเต็มไปด้วยอักขระแปลกๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถระบุได้ว่ามันหมายถึงอะไร เพราะตัวอักษรไม่เหมือนภาษาใดๆ บนโลก และมันถูกฝังอยู่ในเครื่องเข้ารหัสลับตลอดศตวรรษที่ 20
4️⃣. ตุ๊กตาแกะสลักสีทอง
ตุ๊กตาประหลาดนี้ถูกพบในอเมริกาใต้ ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้มีการทำเครื่องบินขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร และมาจากไหนกันแน่ เมื่อปี 1996 ผู้คิดค้นการสร้างเครื่องบินชาวเยอรมัน Algund Eeboom และ Peter Belting ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าตุ๊กตาแกะสลักนี้มีลักษณะคล้ายกับเครื่องบิน พวกเขาจึงได้สร้างเครื่องบินจริงขึ้นมาโดยติดตั้งเครื่องยนต์และวิทยุเข้าไปด้วย
5️⃣. แผ่นพันธุกรรม
เจ้าแผ่นที่ว่านี้สามารถมองเห็นได้ด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น มันแสดงให้เห็นถึงตัวอ่อนของมนุษย์และระยะการเจริญเติบโต ซึ่งมันทำมาจากแผ่นวัตถุที่แข็งแรง 
แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันถูกทำขึ้นมาอย่างไร และคนโบราณนำแผ่นดังกล่าวนี้ไปทำอะไร
6️⃣. กลไก Antikythera
Antikythera เป็นหนึ่งในกลไกประมวลผลที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมันอาจเป็นคอมพิวเตอร์ระบบอนาล็อกตัวแรกของโลกก็เป็นได้ มันถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อน เมื่อตรวจสอบดูหลายครั้งพบว่า สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้อาจทำขึ้นมาเพื่อใช้ระบุตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ รวมถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ และการคาดการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาด้วย แต่ยังคงมีความย้อนแยงตรงที่ว่า ในสมัยโบราณไม่น่าจะมีอุปกรณ์สำหรับผลิตสิ่งประดิษญ์ที่มีความซับซ้อนแบบนี้ได้ มันจึงเป็นอีกหนึ่งวัตถุปริศนามาจนทุกวันนี้

แต่ละชิ้นบอกเลยว่ามีความลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวของมันเอง ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังคงหาคำตอบหรือคำอธิบายได้ว่าพวกมันถูกสร้างขี้นมาอย่างไร และมีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ เพราะข้อสรุปที่ได้มาล้วนมาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
ที่มา : brightside.me






5 เรื่องจริงของชาวโรมันที่คุณต้องขนลุกขนพอง

😂5 เรื่องจริงของชาวโรมันที่คุณต้องขนลุกไม่มีใครสงสัยในความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและความคิดต่างๆ ของโรมันเลยแต่กลับกัน การดำเนินชีวิตและพฤติกรรมบางอย่างของผู้คนในเวลานั้นกลับตรงกันข้ามอย่างน่าขนลุก...
ค้นหา
Custom Search
👉จักรวรรดิโรมันโบราณแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่และสร้างมีมรดกทางสถาปัตยกรรม ศิลปะ กฎหมาย วรรณกรรมและอื่นๆ ให้เราพบเห็นและใช้ประโยชน์ได้จนปัจจุบัน แต่เมื่อมอง "ชีวิตประจำวัน" ของชาวโรมันแล้ว กลับไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย หลายอย่างเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าน่าขยะแขยงเลยด้วยซ้ำ
ส้วมสาธารณะโรมัน ที่เมืองท่าโบราณออสเทีย ที่มาของภาพ
1️⃣. ส้วมมรณะ
ส้วมโรมันดูจะเป็นสถานที่ที่ชวนสยองและเสี่ยงตายอันดับต้นๆ ถึงกับบางคนต้องสวดมนต์ให้รอดจากการใช้ส้วมที่ว่านั่นเลย อาจฟังดูเกินจริงไป แต่ส้วมสาธารณะโรมันนั้นต่างจากห้องอาบน้ำสาธารณะที่เป็นสิ่งน่าชื่นชมของอารยธรรมนี้ลิบลับ ในขณะที่ห้องอาบน้ำเป็นสถานที่ที่ผ่อนคลายและดูดีน่าใช้งาน แต่ส้วมกลับทำให้ขนลุกทุกครั้งที่พูดถึง

ที่นั่งของส้วมเป็นรูให้หย่อนก้นลงไป ของเสียจะถูกปล่อยไปตามท่อที่เชื่อมกับท่อระบายน้ำและบ่อเกรอะแบบเปิด
อีกทั้งส้วมบางแห่งยังมีที่นั่งกว่า 50 ที่ให้นั่งติดๆ กันโดยไม่มีแผงกั้น!!!
อันตรายเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งมักปรากฏว่ามีหนูหรือสัตว์อื่นๆ โผล่ขึ้นมาจากรูที่นั่งของส้วมแล้วงับสะโพกหรืออะไรๆ ของผู้ที่กำลังปลดทุกข์จนโกลาหลกันอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการนั่งส้วมโรมันคือมีก๊าซมีเทนที่เกิดจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุสะสมอยู่ในท่อระบายปฏิกูลจำนวนมาก จนบางครั้งก็ติดไฟจนทำให้คนถูกไฟลวก หรือเกิดการระเบิดย่อยๆ ขึ้นมาได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนโรมันจึงต้องสวดมนต์หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเมื่อต้องเข้าส้วมสาธารณะ

👉นักโบราณคดีพบคาถาหรือมนตราจำนวนมากที่ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจสลักอยู่บนผนังส้วม ขณะเดียวกันมีเรื่องเล่ากันว่าปีศาจเกลียดเสียงหัวเราะ ทำให้นิยมสลักหรือขีดเขียนภาพล้อเลียนต่างๆ ที่ทำให้ผู้พบเห็นหัวเราะออกมาขณะกำลังทำธุระอยู่ แต่ถ้าสถานการณ์ย่ำแย่ คนโรมันจะขอให้เทพเจ้าช่วย ซึ่งเทพที่นิยมเอ่ยถึงเป็นเทพีแห่งโชค คือ เทพีฟอร์ทูนา (Fortuna) ถึงกับส้วมบางแห่งทำภาพเทพีองค์นี้ไว้เลยก็มี
ภาพเทพีฟอร์ทูนา (ขวา) บนผนังส้วมสาธารณะที่ปอมเปอี พร้อมข้อความเตือนผู้ใช้ส้วมให้ระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น 
ที่มาของภาพ

แต่ก็น่าแปลกใจว่าชาวโรมันใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะคิดถึงเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยแทนที่จะคิดเรื่องโชคดี-โชคร้ายในส้วม
👉ไซโลสปอนกิอุม หรือ ฟองน้ำติดด้ามไม้ ซึ่งน่าจะเป็นแบบเดียวกับที่ใช้กันในสมัยโรมัน ที่มาของภาพ
2️⃣. ฟองน้ำสามัคคี
อย่างที่บอกไปแล้วว่าห้องส้วมโรมันนั้นเป็นสถานที่ที่สุดแสนอันตรายและอุดมด้วยความเสี่ยงหลายต่อหลายอย่าง แต่ถ้ายังไม่สยองพอ ต้องมาดูที่นี่...
คนโรมันโบราณไม่มีกระดาษชำระ กลับกัน พวกเขาหยิบฉวยของทุกอย่างที่หาได้ใกล้มือมาใช้ หรือดีขึ้นมาหน่อยก็จะมีอุปกรณ์ "กลาง" ของส้วมให้ใช้...ก็บอกแล้วว่าส้วม "สาธารณะ" อะไรๆ ก็เลยเป็นของใช้ร่วมกันไปหมด

อุปกรณ์ชวนขยะแขยงชิ้นนี้มีชื่อในภาษาละตินว่า ไซโลสปอนกิอุม (Xylospongium) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "ฟองน้ำติดด้ามไม้" ซึ่งมีไว้ประจำส้วมสาธารณะ แต่โชคไม่ดี ที่ส้วมแต่ละแห่งจะมีอุปกรณ์ชิ้นนี้เพียงไม่กี่อันเท่านั้น

เรื่องก็เลยวุ่นวายเมื่อต้องมีการใช้ฟองน้ำนี่ร่วมกัน แถมยังไม่เคยขัดล้างทำความสะอาดเลยด้วย จนอาจกลายเป็นช่องทางของการแพร่เชื้อโรคต่างๆ (เช่น เชื้อไทฟอยด์ เชื้ออหิวตกโรค) ในสมัยโบราณก็เป็นได้
👉ภาพวาดบนภาชนะดินเผา เป็นรูปทาสถือหม้อเก็บปัสสาวะของผู้เป็นนาย ซึ่งอาจนำไปขายให้ร้านฟอก-ย้อมผ้าต่อไป ที่มาของภาพ
3️⃣. ปากสะอาด ฟันขาว ด้วย "ฉี่"
ผู้คนในจักรวรรดิโรมันใช้ปัสสาวะกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการฟอกสีหนังสัตว์ ซักเสื้อผ้า ล้างคอกหรือชำระตัวสัตว์ ปลูกต้นไม้(เป็นปุ๋ย) และที่แปลกที่สุดก็คือ ใช้ขัดฟันให้ขาว"ฉี่" สำคัญถึงกับต้องมีการออกกฎหมายและภาษีว่าด้วยการซื้อขายปัสสาวะกันเลยทีเดียว
เมื่อชาวโรมันปัสสาวะลงในหม้อแล้วนำไปเทลงบ่อพัก จะมีคนมาคอย "เก็บ" รวบรวมเอาไปขายร้านค้าหรือธุรกิจที่ต้องใช้ฉี่เป็นส่วนประกอบซึ่งต้องเสียภาษีปัสสาวะ (Urine Tax) ดังนั้นบางร้าน เช่น โรงฟอกหนังจึงตั้งหม้อหรืออ่างไว้ที่ประตูทางเข้าร้าน เพื่อให้คนที่ผ่านไปผ่านมาปลดปล่อย "ทุกข์เบา" ให้กับทางร้านเอาไปใช้โดยไม่ต้องเสียภาษี...เหมือนการบริจาคฉี่ อะไรทำนองนั้น
หม้อหรืออ่างรองรับปัสสาวะ หน้าร้านฟอก-ย้อมผ้าในปอมเปอี ที่มาของภาพ

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครอย่างหนึ่งของคนโรมันที่ได้มาจากปัสสาวะ ก็คือ น้ำยาบ้วนปาก ก็อย่างที่บอกไปว่าคนโรมันเชื่อว่าฉี่ช่วยให้ปากสะอาดและฟันขาว เพราะในปัสสาวะมีแอมโมเนีย (ammonia) ที่มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้ดีโดยเฉพาะการขจัดคราบฟัน คัตตูลูส (Cuttulus) นักเขียนโรมันถึงกับยืนยันว่าฉี่ไม่ว่าจะของคนหรือของสัตว์ล้วนใช้ขัดฟันขาวได้ดีพอๆ กันต่อให้มีคนยืนยันมากกว่านี้ ก็คงต้องขอตัวก่อนแล้วกัน
4️⃣.ขี้แพะ..นอกจากฉี่แล้ว ชาวโรมันยังใช้ขี้แพะอย่างแพร่หลายไม่น้อยไปกว่ากัน ตามบันทึกของนักเขียนและนักธรรมชาติวิทยาคนสำคัญของโรมัน พลีนีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) ระบุว่า ขี้แพะถูกนำมาผสมกับอีกหลายอย่างใช้เป็นยาทาแผลฉุกเฉิน แถมยังบอกอีกว่าขี้แพะที่เก็บในฤดูใบไม้ผลิแล้วตากแห้งเก็บไว้ใช้มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถ้าแบบ "สดๆ" ก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน (แหวะ!!!)

👉แค่ทาแผลก็ยังไม่เท่าไหร่ 
แต่ ทริการิอุส (trigarius) หรือนักแข่งรถศึกที่เป็นกีฬาที่ชื่นชอบอย่างหนึ่งของคนโรมัน นิยมทำเครื่องดื่มเพิ่มพลังจากขี้แพะบดละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู เพราะเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มพลัง ลดความเหนื่อยล้าให้แก่ "นักแข่งรถศึก" ได้ดีเยี่ยม
โมเสกเป็นภาพนักแข่งรถศึกโรมัน

พลีนี (เจ้าเดิม) ระบุว่าเครื่องดื่มนี้ดีและได้รับความนิยมมาก แม้แต่พระจักรพรรดิเนโร (Nero) ก็ทรงดื่มในยามที่พระองค์ "ทรงต้องความแข็งแกร่งในสนามแข่งขัน"
👉การจัดเลี้ยงอาหารแบบโรมัน จะเขียนการ “เอกเขนก” (recline) กินอย่างสบายใจ 
ที่มาของภาพ
5️⃣. อ้วกแล้วกินต่อ
เรามีหลักฐานจำนวนมากเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยงอาหารของชาวโรมันให้ศึกษาค้นคว้า ซึ่งล้วนแต่บรรยายถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยและความร่ำรวยของผู้เป็นเจ้าภาพพร้อมกับอาหารล้นเหลือ คนที่มางานเลี้ยงก็กินได้สารพัดเท่าที่จะ "ยัด" เข้าไปในท้องได้ ซึ่งตามบันทึกของเซเนกา (Seneca) นักการเมืองและนักปรัชญาโรมัน ถ้ากินจนไม่เหลือที่ว่างในท้องแล้ว แขกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้นก็จะ "อ้วก" ออกมาเพื่อจัดระเบียบกระเพาะให้กินต่อไปได้

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าท่านเหล่านั้นจะลุกไปล้วงคอในห้องน้ำหรอกนะ เขาไม่เคยคิดจะลุกไปจากโต๊ะด้วยซ้ำ (อาจกลัวของอร่อยหมดก่อนหรือยังไงก็ไม่ทราบ) มีหลายครั้งที่ปล่อยลงพื้นหรือดีหน่อยก็หยิบชามใกล้ๆ มือมารองไว้ พอเรียบร้อยก็ตั้งหน้าตั้งตากินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนชั้นสูงของโรมันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาคิดว่าตนไม่ใช่คนที่ต้องทำความสะอาดพื้น
เซนากาบันทึกไว้ว่า...
"เมื่อเราเอกเขนก (คนโรมันเหมือนกันชาวกรีก คือ นอนหรือเอนตัวลงเอาศอกข้างหนึ่งเท้าหมอนหรือพื้นกินอย่างสบายใจ ไม่นั่งห้อยขากินเหมือนเราในปัจจุบัน) [ทาส]คนหนึ่งจะคอยเช็ดน้ำลาย  ขณะที่ [ทาส] อีกคนจะอยู่ใต้โต๊ะคอยเก็บ[อ้วก]ที่คนเมาปล่อยออกมา"...

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

The Hell Hole

ค้นหา
Custom Search
The Hell Hole
นี่คือหลุมที่เกิดจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่สหภาพโซเวียต พวกเขาเคยทำการขุดเจาะพื้นผิวโลกให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การขุดเจาะเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1970 ด้วยเครื่องเจาะที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น ก่อนยุติลงในปี ค.ศ.1989 กล่าวกันว่าสหภาพโซเวียตสามารถขุดเจาะได้ถึง 12 กิโลเมตรก่อนยุติโครงการ

หลังจากยุติโครงการไปก็มีข่าวลือว่าคนงานพบกับเหตุการณ์ประหลาดมากมาย เช่น สามารถบันทึกเสียงร้องโหยหวนของมนุษย์จำนวนมากได้ในหลุมนั้น บ้างก็เชื่อว่าการขุดหลุมดังกล่าวเป็นการปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้ายออกมา

ภาพแห่งความสำเร็จที่ความลึก 12 กิโลเมตร

ที่สุดแห่งสัตว์ดึกดำบรรพ์ พาตาโกไททัน ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ที่สุดแห่งสัตว์ดึกดำบรรพ์! นี่คือ “พาตาโกไททัน” ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด
ในโลก
ค้นหา
Custom Search
ในปี 2013 นักบรรพชีวินวิทยาได้ค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์ ที่คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่และไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน ในประเทศอาร์เจนตินา โดยฟอสซิลดังกล่าวมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่มีการค้นพบฟอสซิลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 
หลังนักบรรพชีวินวิทยาใช้เวลาเก็บรวบรวมข้อมูลของฟอสซิล นานกว่า 4 ปี ก็ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของไดโนเสาร์ตัวนี้
โดยนักบรรพชีวินวิทยาตั้งชื่อให้มันว่า “พาตาโกไททัน” (Patagotitan Mayorum) มันคือไดโนเสาร์กินพืชขนาดยักษ์ ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกของเราเมื่อ 100 ล้านปีที่แล้ว ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส มันมีส่วนสูงประมาณ 14-20 เมตร โดยมีความยาวจากปลายจมูกจรดปลายหาง 37 เมตร และมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 62-77 ตัน 

หากจินตนาการความยิ่งใหญ่ของมันไม่ออก ให้ลองนำช้างแอฟริกาที่โตเต็มไวจำนวน 14 ตัวมารวมกัน ก็จะทำให้เราได้น้ำหนักตัวของมัน ส่วนความยาวของเจ้า พาตาโกไททัน นักบรรพชีวินวิทยาระบุว่ามันมีความยาวพอๆ กับ เครื่องบินโบอิง 737 เลยทีเดียว
ด้วยขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นักบรรพชีวินวิทยาจึงยกให้เจ้า “พาตาโกไททัน” เป็นได้โนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งแซงแชมป์เก่าอย่างเจ้า “อาร์เจนติโนซอรัส” ไปอย่างขาดลอย โดยกระดูกสันหลังของเจ้า อาร์เจนติโนซอรัส มีขนาดเล็กกว่า พาตาโกไททัน ถึง 10% 
เลยทีเดียว นอกจากนี้นักบรรพชีวินวิทยายังได้สันนิษฐานถึงสาเหตุการตายของเจ้าพาตาโกไททัน ว่าน่าจะเกิดจากการจมน้ำในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ของโลก

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

นักวิจัยค้นพบแร่ทองคำและโลหะมีค่าหลายชนิดในอุจจาระหรือขี้มนุษย์

นักวิจัยค้นพบ แร่ทองคำและโลหะมีค่าหลายชนิดใน “อุจจาระ”มนุษย์ หากรู้วิธีสกัดหละก็นะ!

นักวิจัยจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดซึ่งชี้ว่า ภายในอุจจาระของมนุษย์นั้นมีแร่ทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ปะปนอยู่หลายชนิด อาทิ แพลทินัม และเงิน ซึ่งหากทราบวิธีสกัดนำแร่เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ก็จะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง โดยทองคำที่ทีมงานของเธอค้นพบจากกากของเสียนั้น จัดอยู่ในระดับแหล่งแร่ขั้นต่ำที่สุด

ขณะที่นักวิจัยอีกกลุ่มก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการวิจัยสิ่งปฏิกูลของมนุษย์เช่นกันว่า หากนำอุจจาระของชาวอเมริกัน 1 ล้านคนมารวมกัน จะประกอบไปด้วยแร่โลหะที่มีมูลค่าถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราว 420 ล้านบาท 

ซึ่งหากหาวิธีสกัดนำแร่เหล่านี้ออกมาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะช่วยลดความจำเป็นในการทำเหมือง และลดปริมาณการปล่อยโลหะที่ไม่พึงประสงค์ออกสู่ธรรมชาติ อันเป็นหนทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก

แคธลีน สมิธ นักวิจัยจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ กล่าวว่า หากเราสามารถแยกโลหะรบกวนที่ทำให้กากชีวภาพถูกนำไปใช้ในไร่หรือป่าได้อย่างจำกัด และสามารถสกัดเอาโลหะมีค่าออกมาใช้ประโยชน์ ก็จะมีแต่ได้กับได้ เราพบว่ามีโลหะอยู่ทุกที นับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผงซักฟอก ตลอดจนอนุภาคนาโนที่ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในถุงเท้า

ขณะที่แคธลีนได้เผยแนวทางการวิจัยของเธอและลูกทีมส่วนหนึ่งจะมุ่งศึกษาวิธีคัดแยกโลหะไม่พึงประสงค์ที่ทำให้กากชีวภาพไม่สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยได้อย่างเต็มที่ และอีกส่วนหนึ่งจะให้ความสนใจในการเก็บรวบรวมโลหะมีค่าที่สามารถนำมาขายได้
ค้นหา
Custom Search

ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้หลุมฝังศพกษัตริย์ชาวมายัน

ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้หลุมฝังศพกษัตริย์ชาวมายัน เชื่อว่าใช้ส่งวิญญาณสู่ยมโลก
ค้นหา
Custom Search
นักโบราณคดีชาวเม็กซิกันประกาศในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า พวกเขาได้ค้นพบอุโมงค์น้ำใต้ดินขนาดกว้างและสูง 60 ซม. ถูกสร้างอยู่ใต้วิหารแห่งศิลาจารึกอายุ 1,300 ปีในเมือง Palenque ของชาวมายันโบราณ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาหลุมฝังศพของกษัตริย์ของชาวมายันที่ชื่อ Pakal

นักโบราณคดี Arnoldo Gonzalez กล่าวว่านักวิจัยเชื่อว่าหลุมฝังศพและพีระมิดถูกสร้างคร่อมเหนือน้ำพุอย่างจงใจ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 683 ถึง ค.ศ. 702  อุโมงค์ส่งน้ำจากใต้ห้องเก็บศพออกไปยังลานกว้างด้านหน้าของวิหารเพื่อเป็นเส้นทางให้วิญญาณของกษัตริย์ Pakal ไปสู่ชีวิตหลังความตาย

ความสนใจได้มุ่งเน้นไปที่โลงศพหินแกะสลักที่ใช้ฝังกษัตริย์ Pakal ซึ่งมีบางคนเชื่อแบบผิดๆว่าผู้ปกครองเมืองมายานั่งอยู่ที่แผงควบคุมของยานอวกาศแต่ Gonzalez กล่าวว่ารูปแกะสลักบนหินอุดหูคู่หนึ่งที่พบในหลุมฝังศพบอกว่า “พระเจ้าจะนำทางไปสู่​​ยมโลกโดยการจุ่มพวกเขาลงไปในน้ำ แล้วพวกเขาจะได้รับการต้อนรับที่นั่น”
วิหารแห่งศิลาจารึกเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ชาวมายันเคยทำมา และเป็นเวลาหลายร้อยปีที่พีระมิดหินได้ตั้งตระหง่านเหนือเมืองโบราณและเก็บซ่อนความลับลึกอยู่ภายใน

จนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1952 นักโบราณคดีชาวเม็กซิกัน Alberto Ruz Lhuillier ค้นพบบันไดที่ซ่อนอยู่ภายในวิหาร ซึ่งได้นำไปสู่​​หลุมฝังศพที่มีโครงกระดูกที่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณี สวมหน้ากากหยกโมเสค โครงกระดูกเป็นของกษัตริย์ Pakal ผู้ปกครองอาณาจักรมายันในช่วงศตวรรษที่ 7 และเป็นผู้สร้างพีระมิดในช่วงปลายของการครองบัลลังก์เกือบ 70 ปีของเขา

ภายในหลุมฝังศพมีรูปแกะสลัก 640 รูป เขียนโดยอาลักษณ์หลวงบอกเล่าเรื่องราวของการครองราชย์ของกษัตริย์ Pakal จนกระทั่งตายในปี ค.ศ. 683  รูปแกะสลักบนฝาโลงศพหินปูนบรรยายการฟื้นคืนชีพของกษัตริย์และการเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตาย
ในปี 2012 นักวิจัยได้พบความผิดปกติของสภาพใต้พื้นดินที่ด้านหน้าของพีระมิดจากการสำรวจโดยเรดาร์ พวกเขากลัวว่าอาจจะเป็นหลุมหรือรอยเลื่อนที่อาจทำให้พีระมิดทรุดตัวหรือพังทลายลงมาได้ พวกเขาจึงขุดที่บริเวณนั้น แล้วก็พบก้อนหินที่วางเรียงอย่างดี 3 ชั้นปิดทับอยู่เหนืออุโมงค์

Gonzalez กล่าวว่าหินที่ใช้ปิดทับอุโมงค์เป็นชนิดเดียวกับหินที่พื้นของหลุมฝังศพกษัตริย์ Pakal ภายในพีระมิด

เขากล่าวว่าดูเหมือนจะไม่มีช่องที่เชื่อมต่อระหว่างหลุมฝังศพกับอุโมงค์ แต่อุโมงค์ยังไม่ได้ถูกสำรวจทั้งหมดเพราะมันมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะคลานผ่านไปได้ ซึ่งนักวิจัยได้มีการส่งหุ่นยนต์พร้อมกล้องลงไปสำรวจดูเพิ่มเติมแล้ว
Francisco Estrada-Belli ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยบอสตันที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการค้นพบครั้งนี้กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าการสร้างหลุมฝังศพเหนือลำธารสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าลำธารเป็นประตูสู่ยมโลก”

นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่า ชาวจีนหมักเบียร์ได้ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน


นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่า ชาวจีนหมักเบียร์ได้ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อน

นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานมาเป็นเวลาหลายปีแล้วว่า บรรพบุรุษของพวกเขาในสมัยก่อนเคยประสบความสำเร็จในการหมักเบียร์ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน

จนเมื่อไม่นานมานี้ เหล่านักโบราณคดีได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงสูตรการหมักเบียร์ของจีนที่มีมายาวนานกว่า 5,000 ปี

การค้นพบครั้งนี้เปลี่ยนความเชื่อ
ในหลายๆ ด้านจริงๆ เนื่องจากเบียร์ในสมัยก่อนต้องใช้ข้าวบาร์เลย์ในการหมัก แต่จากสูตรที่ค้นพบซึ่งย้อนไปเมื่อ 5,000 ปี แสดงให้เห็นว่าพืชชนิดนี้ได้มีในประเทศจีนในระยะเวลาพอๆ กัน 

ซึ่งหลักฐานของสูตรหมักเบียร์นี้ยังมีความสมเหตุสมผลมากๆ กับตัวหลักฐานที่ค้นพบ ที่เหล่านักโบราณคดีคาดว่าเป็นสิ่งที่ชาวจีนสร้างขึ้นเพื่อใช้ผลิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และนี่คือภาพของหลักฐานที่ค้นพบ มีรูปร่างเหมือนกรวยหินโบราณ

เมื่อนำอุปกรณ์เหล่านี้มาสกัดจะพบสารสีเหลืองที่อยู่ภายใน ที่มีสาร Oxalate เป็นสารที่ได้จากการผลิตเบียร์ จึงทำให้หลักฐานนั้นชัดเจนมากขึ้นไปอีก ซึ่งขัดกับความเชื่อเดิมที่คิดว่าการปลูกข้าวบาร์เลย์เกิดขึ้นเมื่อ 4,000 ปีก่อน
ค้นหา
Custom Search
นอกจากนี้การค้นพบในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสื่อสารของชาวจีนกับชาวตะวันตกในยุดสมัยโบราณอีกด้วย เนื่องจากเบียร์เป็นตัวชี้วัดการผสมผสานทางวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกนั่นเอง

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

เปิดสุสาน 4300 ปี แห่งซัคคารา


สุสานที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยในครั้งนี้ เป็นสุสานหินตัดที่มีอายุยาวนานถึง 4,300 ปี และถูกกลบ ลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วยผงทรายสุด ลูกหูลูกตาในซัคคารา แม้ว่าจะมีการขุดค้นพีระมิด และบริเวณใกล้เคียงกันนั้นมานานตั้ง 150 ปีแล้ว
Custom Search
ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ เลขาธิการ SCA เป็นผู้นำคณะสื่อมวลชนเข้าชมสุสานทั้ง 2 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากพีระมิดขั้นบันไดอันมีชื่อเสียงของแห่งซัคคารา ไปทางใต้เพียง 400 เมตร และห่างจากกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ไปประมาณ 35 กิโลเมตรเท่านั้น

ตัวสุสานทั้งสองสร้างด้วยหินตัด บริเวณทับหลังเหนือทางเข้ามีตัวอักษรเฮียโรกราฟฟิกสลักอยู่ ทำให้รู้ว่าสุสานหนึ่งเป็นของบุรุษ นาม อิยา-มาอัท ซึ่งเป็นข้าราชบริพารในองค์ ฟาโรห์อูนาส กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 5 ผู้ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับเหมืองหินที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างพีระมิด แถมยังได้ดูแลพระคลังของฟาโรห์อีกด้วย สุสานนี้มีขนาดกว้างประมาณ 1 หลา ยาว 2.75 หลา

ส่วนอีกสุสานหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว มีภาพสลักเป็นรูปสตรีในท่านั่ง ทำให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ทอดร่างของสตรีนางหนึ่ง นาม ธินห์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการบันเทิง ซึ่งน่าจะเป็นนักร้องในยุคของฟาโรห์อูนาส และ ด้านหนึ่งของผนังก็มีภาพของสาวเจ้ากำลังขับขานบทเพลงอยู่ด้วย

การค้นพบนี้ ทำให้ ดร.ฮาวาสส์ ดีใจจนเนื้อเต้น เพราะเป็นการพิสูจน์ว่า ลึกลงไปใต้ดินของเมืองซัคคารานั้น ยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก และเครือข่ายของสุสานโบราณในบริเวณนี้ ก็อาจจะใหญ่กว่าที่เคยคาดคิดกัน

ดร.ฮาวาสส์บอกว่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว สุสานใหม่ (ที่เก่ากึ๊กส์) ทั้งสอง แห่งนี้ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขุดค้นบริเวณนี้ต่อไปอีกยกใหญ่ และน่าจะทำให้ได้คำตอบอีกมากเกี่ยวกับเรื่องราวของราชวงศ์ที่ 5-6 ของอาณาจักรเก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า การสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์อูนาส ได้นำมาซึ่งจุดจบของราชวงศ์ที่ 5 เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระโอรส ในขณะที่ พระธิดาได้กลายเป็นราชินีคนแรกของราชวงศ์ที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอียิปต์โบราณเกิดความขัดแย้งภายในอย่างมาก

เช่นเดียวกับ ไอแดน ด๊อดสัน 
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสทอล อังกฤษ หนึ่งในคณะขุดค้นที่บอกว่า แม้สุสานทั้งสองแห่งนี้ จะยังไม่ได้บอกความสำคัญในตัวเองมากนัก แต่ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นว่า บริเวณสุสานกษัตริย์แห่งนี้ กินอาณาบริเวณที่ใหญ่มาก และ พอจะคาดเดาได้เลยว่า พื้นที่ว่างๆของซัคคาราที่เห็นๆกันอยู่ในแผนที่นั้น ไม่ได้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่นักโบราณคดียังไม่ได้ไปขุดของสำคัญ ในหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นมาจากผืนทรายต่างหาก

ที่ผ่านมา การขุดค้นที่เมืองซัคคารานาน กว่าร้อยปีได้มีการค้นพบพีระมิด สุสาน หลุม ศพ สถานที่ประกอบพิธีศพ ฯลฯ แล้วหลายแห่ง ย้อนหลังไปเมื่อเดือนปลายปีที่ผ่านมา ดร.ฮาวาสส์ ก็เพิ่งจะได้พาผู้สื่อข่าวไปซัคคารา เพื่อ เปิดเผยการค้นพบพีระมิดใหม่ ซึ่งเป็นพีระมิดลำดับที่ 118 ที่มีการค้นพบในอียิปต์ และเป็น ลำดับที่ 12 ที่พบในซัคคารา พีระมิดแห่งนี้อายุราวๆ 4,300 ปี เช่นเดียวกับสุสานที่พบใหม่ ดร.ฮาวาสส์คาดว่า น่าจะเป็นพีระมิดของ พระนางเซเชเชต พระมารดา ของ ฟาโรห์เตติ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 6

เรื่องราวของพระนาง เคยถูกกล่าวถึงมาก่อน ในตำราการแพทย์ ที่ถูกเขียนขึ้น ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ มันเป็นตำรายาที่ช่วยทำให้เส้นพระเกศาของพระนางแข็งแรง แสดงว่าพระราชินีก็คงจะรักสวยรักงามไม่ใช่เล่น

พีระมิดแห่งนี้ สูง 5 เมตร แต่คาดว่าก่อนหน้านี้ในอดีตเคยสูง 14 เมตร มีฐานเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านยาว 22 เมตร แต่ละด้านเอียง 51 องศา ตัวพีระมิด ทั้งหมดน่าจะเคยปกคลุมผิวหน้าด้วยหินปูนสีขาวชั้นดีจากเมืองทูราบริเวณรอบๆพีระมิด มีการค้นพบรูปปั้นที่ใช้ในพิธีศพระหว่างปีที่ 818-712 ก่อนคริสตกาล และพบโบสถ์ขนาดเล็กของยุคอาณาจักรใหม่ ช่วง 1,550 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นวิหารที่ตกแต่งเหมือนกับการบูชาเทพโอซิริส และพบโลงศพของยุคหลังๆ ประมาณ 399-343 ปีก่อนคริสตกาล แถมด้วยรูปแกะสลักไม้ของเทพอนูบีสด้วย ซึ่งการค้นพบข้าวของจากหลายยุคมาอยู่รวมกันในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ แสดงให้เห็นว่า น่าจะมีการใช้พื้นที่ของสุสานเดียวกันนี้ซ้ำๆกันอีกหลายครั้งต่อมาในยุคหลังๆ

และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา นี้ ทางการอียิปต์ก็อัพเดท ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจพีระมิดของพระนางเซเชเชตว่า นักอียิปต์วิทยา ได้พบซากมัมมี่ ซึ่งคาดว่าเป็นมัมมี่ของพระนางแล้ว
พวกเขาใช้เวลาร่วม 5 ชั่วโมงในการเปิดฝาโลงศพหิน และก็พบกะโหลก ขา กระดูกเชิงกราน และชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆที่พันไว้ด้วยผ้าลินิน นอกจากนั้น ยังมีเครื่องปั้นดินเผาและทองคำซึ่งเอาไว้พันบริเวณนิ้วของมัมมี่ ส่วนสิ่งของอื่นๆเชื่อว่าอาจโดนหัวขโมยสมัยโบราณจัดการไปแล้ว

ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเราจะไม่พบพระนามของราชินีที่ถูกฝังไว้ในพีระมิดแห่งนี้ แต่ว่าร่องรอยทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่านางคือเซเชเชต มารดาของฟาโรห์เตติ ฟาโรห์องค์แรกของราชวงศ์ที่ 6
กล่าวถึงการค้นพบมาพอประมาณแล้ว คงต้องให้เครดิตคณะสำรวจ ซึ่งนำโดย ดร.ฮาวาสส์ ผู้ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ SCA ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ก่อนที่จะมาดังเป็นพลุแตก และเป็นความภูมิใจของวงการโบราณคดีในปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นปีที่เขาโด่งดังสุดๆ จากการที่นิตยสารไทม์ ได้ประกาศรายชื่อผู้ทรงอิทธิพลของโลก 100 คน จากผลงานที่เขาได้ พยายามค้นคว้าศึกษาเรื่องอียิปต์ โบราณ โดยเฉพาะ

เรื่องอันน่าสนใจของ ยุวกษัตริย์ ตุตัน-คาเมน ซึ่งเขาได้ใช้เทคโนโลยีทีซีสแกนในการเผยพระพักตร์ ที่แท้จริงขององค์ฟาโรห์ พร้อมๆกับเปิดเผยว่า กษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ได้ถูกปลงพระชนม์เหมือนกับที่เคยเชื่อๆกันมาแต่อดีต ก่อนจากกัน ทีมงานต่วย'ตูน มีของแถมอีกเล็กน้อยสำหรับแฟนานุแฟน นั่นคือ ในช่วงต้นเดือน ธันวาคมที่ผ่านมา มีรายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญของ อังกฤษ ประกอบด้วย โคลิน รีดเดอร์ นักธรณีวิทยา และ โจนาธาน ฟอยล์ นักประวัติศาสตร์ สถาปนิก ที่ได้เปิดเผยการค้นพบว่า ความเข้าใจที่ เราๆท่านๆมีต่อสฟิงซ์ที่ผ่านมานั้น เป็นความเชื่อที่ผิด

จากที่แต่ไหนแต่ไรมา คนทั่วไปคิดว่า สฟิงซ์แห่งกีซ่า มีรูปลักษณ์เป็นสิงโต แต่มีหัวเป็นมนุษย์ ซึ่งน่าจะจำลองมาจากพระพักตร์ของ ฟาโรห์คาเฟร แต่จากการค้นคว้าครั้งใหม่ของนักวิชาการชาวอังกฤษ ได้พบว่า ดั้งเดิมจริงๆ แล้ว สฟิงซ์มีใบหน้าเป็นสิงโตต่างหาก

อันที่จริง แนวคิดนี้มีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ บรรดานักวิจัยได้ใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพดิจิตอล จากองค์ประกอบที่เหลืออยู่ แล้วฟันธงลงไปว่า สฟิงซ์ยักษ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา ก่อนตัวมหาพีระมิดกีซ่า และน่าจะถูกสลักใบหน้าเป็นหน้าราชสีห์ก่อน แล้วจึงถูกสลักใหม่ภายหลังให้เป็นพระพักตร์ขององค์ฟาโรห์ในที่สุด

ส่วนจะเชื่อถือได้หรือไม่ คงต้องรอดูในระยะ ยาว ว่าจะมีใครหาทฤษฎีมาแย้งคุณพี่รีดเดอร์ กะพี่ฟอยล์ได้หรือเปล่า ส่วนตอนนี้ ขอปักใจเชื่อคณะวิจัยของอังกฤษไปพลางๆก่อน


รายการบล็อกของฉัน