😬ธาตุในตำนาน ‘ศิลานักปราชญ์’ สสารที่เปลี่ยนเหล็กให้เป็นทอง มอบความอมตะให้กับผู้ค้นพบ เรื่องจริงหรือเพียงแค่นิทาน?
ค้นหา
Custom Search
หากใครเคยอ่านมังงะหรือชมอนิเมะจากญี่ปุ่นเรื่อง “แขนกลคนแปรธาตุ” หรือ “Fullmetal Alchemist” ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า “ศิลานักปราชญ์” กันเป็นอย่างดี เพราะในเรื่องราวของ Fullmetal Alchemist นั้นจะกล่าวถึงศิลานักปราชญ์ว่าเป็นสสารลึกลับที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างมนุษย์หรือการช่วยให้ผู้ที่ครอบครองศิลานักปราชญ์สามารถกลับมาเป็นหนุ่มสาวและมีชีวิตยืนยาวได้
เรื่องราวของศิลานักปราชญ์นั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงความเชื่อในการ์ตูนเพียงเท่านั้นหากแต่มันเป็นความเชื่อของนักเล่นแร่แปรธาตุในยุคที่ศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุเฟื่องฟู โดยศิลานักปราชญ์นั้นเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุเชื่อกันว่ามันคือสสารที่เป็นที่สุดแห่งวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ผู้ใดครอบครองก็สามารถที่จะนำมันมาใช้ในการเปลี่ยนโลหะธรรมดาให้กลายเป็นทองคำ หรือแร่เงินบริสุทธิ์ได้
ตามตำราของนักเล่นแร่แปรธาตุมีระบุไว้ว่าศิลานักปราชญ์นั้นจะมีสองแบบ ได้แก่สีขาวที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นเงิน สีแดงใช้สำหรับเปลี่ยนโลหะให้กลายเป็นทอง ศิลานักปราชญ์ทั้งสองแบบนั้นจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผลึกโปร่งใสเหมือนแก้ว สามารถตีให้เป็นแผ่นบางๆ มีน้ำหนักหนักกว่าทองและสามารถละลายในน้ำได้แต่จะไม่ติดไฟ ศิลานักปราชญ์สีแดงนั้นถือว่าเป็นศิลานักปราชญ์ที่สมบูรณ์ที่สด
ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ไม่พบว่ามีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ได้ว่ามีผู้ใดค้นพบศิลานักปราชญ์ได้อย่างแท้จริง แต่ก็เพียงข่าวลือที่บันทึกไว้ว่าชายนามว่า “Nicolas Flamel” นักเล่นแร่แปรธาตุชาวฝรั่งเศสนั้นค้นพบวิธีในการสร้างศิลานักปราชญ์ โดย Nicolas และภรรยานั้นได้นำศิลานักปราชญ์มาละลายกับน้ำและดื่มมันเข้าไปจนทั้งสองคนนั้น
เป็นอมตะ และเสกทองขึ้นมาจนตนเองนั้นมีฐานะร่ำรวยและได้บริจาคสร้างโบสถ์ต่างๆ มากมายจนมีผู้สงสัยในความร่ำรวยของทั้งสองคน ต่อมาทั้งคู่ก็เสียชีวิตไป ซึ่งก็มีเสียงร่ำลืออีกว่าเป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น
เป็นอมตะ และเสกทองขึ้นมาจนตนเองนั้นมีฐานะร่ำรวยและได้บริจาคสร้างโบสถ์ต่างๆ มากมายจนมีผู้สงสัยในความร่ำรวยของทั้งสองคน ต่อมาทั้งคู่ก็เสียชีวิตไป ซึ่งก็มีเสียงร่ำลืออีกว่าเป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในทางวิทยาศาสตร์นั้นยังไม่พบกับสิ่งที่มีความใกล้เคียงกับ “ศิลานักปราชญ์” เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวของ Nicolas Flamel จึงกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่เหมือนกับนิทานฟังสนุกๆ พอให้ตื่นเต้นไปเท่านั้นเอง