Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ว่านเจินเอ๋อ ตำนานรักกินเด็กแห่งราชวงศ์หมิง


🧙‍♂️ว่านเจินเอ๋อ : ตำนานรัก”กินเด็ก”แห่งราชวงศ์หมิง
“กินเด็ก” ศัพท์แสลงที่มักใช้กับคู่รักที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า มีคำพูดแบบติดตลกสมัยนี้ที่ว่า “กินเด็ก รสหวาน รับประทานง่าย” จริงเท็จแค่ไหนผู้เขียนไม่ทราบได้

แต่ถ้าถาม ว่านเจินเอ๋อ นางคงตอบว่า รับประทานง่ายจริงๆ และยังทำให้นางกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือใครในแผ่นดินมาแล้ว

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง 
จูเจี้ยนเซิน 朱见深 เดิมทีเป็นองค์รัชทายาทของพระเจ้าอิงจง แต่เมื่อพระเจ้าอิงจงถูกพวกมงโกลจับตัวไป ภายในราชสำนักก็เกิดความเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอาขึ้นครองราชย์แทนเป็นพระเจ้าจิ่งตี้ จูเจี้ยนเซินที่ยังเป็นทารกวัยเพียง 2 ปี จึงกลายเป็นองค์ชายน้อยตกอันดับ ต้องอยู่ภายในวังอย่างเจียมตน และในระหว่างนี้เองผู้ที่ประคบประหงมเลี้ยงดูองค์ชายน้อยจูเจี้ยนเซินคือนางกำนัลฝ่ายในวัย 19 ปีที่ชื่อ ว่านเจินเอ๋อ 万贞儿ว่านเจินเอ๋อ พระสนมว่านหวงกุ้ยเฟย

ว่านเจินเอ๋อ เข้าวังตั้งแต่อายุ 4 ปี เป็นเพียงนางกำนัลฐานะต่ำต้อย โชคดีที่นางได้รับหน้าที่เลี้ยงดูองค์ชายน้อยจูเจี้ยนเซินตั้งแต่เขายังเป็นทารก หลังเหตุความวุ่นวายภายในราชสำนักที่ทำให้จูจี้ยนเซินถูกปลดจากการเป็นไท่จื้อรัชทายาท จนกระทั่งพระบิดาหมิงอิงจงกลับประเทศกู้บัลลังก์ จะในยามร้ายหรือดีทั้งจูเจี้ยนเซินและว่านเจินเอ๋อก็ผูกพันไม่เคยเหินห่าง ในสายตาของจูเจี้ยนเซินมองว่านเจินเอ๋อเป็นเสมือนแม่ เสมือนพี่สาว แต่นานวันเข้า เมื่อจูเจี้ยนเซินเจริญวัย ความผูกพันของทั้งคู่กลับกลายแปรผันเป็นความรักฉันชู้สาว เป็นรักที่มีวัยห่างกันถึง 17 ปี!

ปีคริสตศักราช 1464 หมิงอิงจงฮ่องเต้สวรรคต จูเจี้ยนเซิน พระชนมายุ 17 พรรษาขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติราชวงศ์หมิง เป็นพระเจ้าหมิงเสี้ยนจง 明宪宗 รัชศกเฉิงฮว่า อย่างแรกที่พระองค์อยากทำใจจะขาดคือ ยกว่านเจินเอ๋อ นางในดวงใจคนต่างวัย ขึ้นเป็นพระมเหสี แต่ก็ถูกคัดค้านทั้งจากพระราชชนนีโจว และบรรดาขุนนางผู้ใหญ่
ด้วยว่านเจินเอ๋อชาติตระกูลต่ำต้อย เป็นเพียงนางกำนัล ที่สำคัญ “แก่กว่าฮ่องเต้”

พระเจ้าหมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้
แต่เหมือนฟ้าเล่นตลก สองปีต่อมา ว่านเจินเอ๋อ ที่ตอนนี้มีอายุถึง 38 ปีแล้ว กลับตั้งครรภ์ ให้กำเนิดองค์ชายกับหมิงเสี้ยนจง นี่ยิ่งทำให้หมิงเสี้ยนจงทรงหลงรักนางมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทรงแต่งตั้งว่านเจินเอ๋อ เป็นพระสนมว่าน “ว่านหวงกุ้ยเฟย” แม้เวลานั้นจะมีฮองเฮา และพระสนมอื่น ทว่า ผู้ที่กุมอำนาจในราชสำนักฝ่ายในที่แท้จริงคือ ว่านหวงกุ้ยเฟย พระสนมกินเด็กผู้นี้

แต่องค์ชายที่ประสูติจากพระสนมว่าน ไม่ถึงหนึ่งขวบปีก็สิ้นพระชนม์ ทำให้พระสนมว่านเสียใจอย่างหนัก

จากโศกเศร้ากลายเป็นเคียดแค้นชิงชัง ไม่อยากเห็นใครได้ดีกว่า ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าสนมคนใดถวายงานแล้วมีครรภ์มังกรให้โอรสกับฮ่องเต้ เป็นต้องถูกกำจัดให้พ้นทาง ค.ศ.1469 สนมป๋อให้กำเนิดพระโอรส ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แต่ต่อมาไม่นาน องค์รัชทายาทก็สิ้นพระชนม์อย่างเป็นปริศนา ทั้งวังหลวงต่างรู้ดีแก่ใจว่าเป็นฝีมือของพระสนมว่าน แต่ไม่มีใครกล้ากราบทูลความจริงให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เพราะพระสนมว่านไม่เพียงเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ยังเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงเกรงพระทัยเป็นอย่างมาก เรียกง่ายๆ ว่าฮ่องเต้ “กลัวเมีย” นั่นเอง

นับแต่นั้นหมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้ก็กังวลแต่เพียงตัวเองจะไร้รัชทายาทสืบราชบัลลังก์ ปล่อยปละละเลยเรื่องบ้านเมือง ปล่อยให้ว่านเจินเอ๋อหรือพระสนมว่าน กับ บรรดาขันทีขึ้นมามีอิทธิพล ยึดอำนาจทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน บ้านเมืองระส่ำระสาย วุ่นวายไปทั่ว

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ...
แม้พระสนมว่านจะพยายามกำกับควบคุมฮ่องเต้เต็มที่ แต่ก็มีคราวหนึ่งที่หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้หนุ่มได้พบกับนางจี้ซื่อ นางในที่มีพื้นเพเป็นคนมณฑลกวางสี นางจี้ซื่อถวายงานเพียงครั้งเดียวก็มี“สายเลือดมังกร” ให้ฮ่องเต้

ค.ศ.1470 นางจี้ซื่อก็ให้กำเนิดพระโอรส ฮ่องเต้ยังไม่ทันรู้ แต่ข่าวเข้าหูพระสนมว่านก่อนแล้ว นางสั่งให้ขันทีจางหมิ่นรีบชิงตัวทารกไปถ่วงน้ำ ขันทีจางหมิ่นไม่เพียงไม่ทำตามคำสั่ง ยังช่วยซ่อนราชโอรสองค์น้อยไว้ให้พ้นเงื้อมมือสนมโฉด ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ “กินเด็ก” แต่ยังจะ “ฆ่าเด็ก” จริงๆ เสียด้วย !!!

ห้าปีต่อมา หมิงเสี้ยนจงที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ยังทรงจมอยู่กับความทุกข์ที่ไร้รัชทายาท ขันทีจางหมิ่นตัดสินใจรวบรวมความกล้าทูลความจริงว่า ยังทรงมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง หมิงเสี้ยนจงรีบให้นำพระโอรสและนางจี้ซื่อเข้าเฝ้า ตั้งพระนามโอรสว่า จูโหย่วถัง 朱祐樘 (ต่อมาจะขึ้นเป็นพระจักรพรรดิหงจื้อ หมิงเสี้ยวจง ฮ่องเต้ดีพระองค์หนึ่งของราชวงศ์หมิง)

👉เรื่องนี้ แม้หมิงเสี้ยนจงจะไม่กล้าลงโทษพระสนมว่าน คู่รักต่างวัย แต่พระสนมว่านกลับไม่ปล่อยศัตรู นางวางยาพิษฆ่านางจี้ซื่อ ขันทีจางหมิ่นรู้ว่าความตายใกล้ถึงตัวก็กลืนก้อนทองฆ่าตัวตาย แต่เงื้อมมืออันเลวร้ายของพระสนมก็เอื้อมไปไม่ถึงพระโอรสจูโหย่วถัง ไม่นานเกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณภูเขาไท่ซาน หนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินจีน โหรหลวงทำนายว่าเป็นเพราะ “เรื่องรัชทายาทไม่นิ่ง” หมิงเสี้ยนจงจึงกล้าขัดใจพระสนมว่านตั้งจูโหย่วถังขึ้นเป็นองค์ไท่จื้อรัชทายาท
เดือนหนึ่ง รัชศกเฉิงฮว่าปีที่ 23 (ค.ศ.1487) พระสนมว่านก็ล้มป่วยและถึงแก่ความตายในที่สุด มีอายุได้ 59 ปี เมื่อทรงทราบข่าวการตายของพระสนมว่าน หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้เอ่ยพระโอษฐ์ว่า

“สนมว่านไม่อยู่ในโลกนี้ เห็นทีข้าเองก็อีกไม่นานแล้ว” “万氏长去,吾亦安能久矣。”
และก็เป็นจริงตามนั้น เดือนแปดปีเดียวกันนั้นเอง หมิงเสี้ยนจงฮ่องเต้ก็สวรรคตตามนางอันเป็นที่รักไปด้วยพระชนมายุเพียง 41 พรรษา
ว่านเจินเอ๋อ นางมีอะไรดีที่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งหลงรักได้ถึงเพียงนี้?
ไม่มีใครล่วงรู้คำตอบ และเป็นอันปิดฉากตำนานรัก “กินเด็ก” แห่งวังต้องห้ามในราชวงศ์หมิงไปในที่สุด

6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

🔜6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่?
ค้นหา
Custom Search
อย่างที่รู้กันว่า มนุษย์เรานั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และแน่นอนว่าคนในแต่ละยุคสมัยก็ล้วนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้มีการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ วัตถุหรือข้าวของเครื่องใช้หน้าตาแปลกๆ มากมายในอดีตยังคงมีให้พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน

ในหลายๆ ครั้ง คนมักตั้งคำถามว่าสิ่งได้ค้นพบเหล่านั้นมันคืออะไร และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีไว้เพื่ออะไร แต่บางครั้งมันก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ทุกอย่างเสมอไป อย่างเช่น 6 วัตถุปริศนา ที่ถูกค้นพบแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่? ที่เราได้นำมาฝากเพื่อนๆ ให้ได้ชมกัน
1️⃣. หินยักษ์ทรงกลมของ 
Costa Rica
หินยักษ์เหล่านี้ถูกค้นพบช่วงปี 1930 ตามตำนานท้องถิ่นเล่าว่า มันมีทองคำซ่อนอยู่ภายใน เมื่อลองนำหินมาระเบิดกลับไม่พบอะไรอยู่ภายในเลย ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร และทำไมต้องปั้นเป็นลูกกลมๆ แบบนี้ แต่มีการคาดเดาว่ามันอาจเป็นเครื่องหมายระหว่างเขตแดนของชนเผ่าต่างๆ
2️⃣. แบตเตอรี่แบกแดด
สิ่งประดิษฐ์นี้ถูกค้นพบปี 1930 บริเวณใกล้ๆ กรุงแบกแดด มีลักษณะเป็นขวดสูง 13 ซม. มีแกนเหล็กยื่นออกมาที่ปากขวด มีกระบอกทองหุ้มอยู่และมีเหล็กด้านในอีกแท่ง จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า มันคือแบตเตอรี่เก่าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1 โวลต์ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้พลังงานจากแท่งทองที่อยู่ภายใน
3️⃣. ต้นฉบับของ Voynich
Voynich อาจเป็นหนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก เพราะผู้เขียนใช้ภาษาที่อ่านยากและเต็มไปด้วยอักขระแปลกๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถระบุได้ว่ามันหมายถึงอะไร เพราะตัวอักษรไม่เหมือนภาษาใดๆ บนโลก และมันถูกฝังอยู่ในเครื่องเข้ารหัสลับตลอดศตวรรษที่ 20
4️⃣. ตุ๊กตาแกะสลักสีทอง
ตุ๊กตาประหลาดนี้ถูกพบในอเมริกาใต้ ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้มีการทำเครื่องบินขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร และมาจากไหนกันแน่ เมื่อปี 1996 ผู้คิดค้นการสร้างเครื่องบินชาวเยอรมัน Algund Eeboom และ Peter Belting ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าตุ๊กตาแกะสลักนี้มีลักษณะคล้ายกับเครื่องบิน พวกเขาจึงได้สร้างเครื่องบินจริงขึ้นมาโดยติดตั้งเครื่องยนต์และวิทยุเข้าไปด้วย
5️⃣. แผ่นพันธุกรรม
เจ้าแผ่นที่ว่านี้สามารถมองเห็นได้ด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น มันแสดงให้เห็นถึงตัวอ่อนของมนุษย์และระยะการเจริญเติบโต ซึ่งมันทำมาจากแผ่นวัตถุที่แข็งแรง 
แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันถูกทำขึ้นมาอย่างไร และคนโบราณนำแผ่นดังกล่าวนี้ไปทำอะไร
6️⃣. กลไก Antikythera
Antikythera เป็นหนึ่งในกลไกประมวลผลที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมันอาจเป็นคอมพิวเตอร์ระบบอนาล็อกตัวแรกของโลกก็เป็นได้ มันถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อน เมื่อตรวจสอบดูหลายครั้งพบว่า สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้อาจทำขึ้นมาเพื่อใช้ระบุตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ รวมถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ และการคาดการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาด้วย แต่ยังคงมีความย้อนแยงตรงที่ว่า ในสมัยโบราณไม่น่าจะมีอุปกรณ์สำหรับผลิตสิ่งประดิษญ์ที่มีความซับซ้อนแบบนี้ได้ มันจึงเป็นอีกหนึ่งวัตถุปริศนามาจนทุกวันนี้

แต่ละชิ้นบอกเลยว่ามีความลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวของมันเอง ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเองก็ยังคงหาคำตอบหรือคำอธิบายได้ว่าพวกมันถูกสร้างขี้นมาอย่างไร และมีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ เพราะข้อสรุปที่ได้มาล้วนมาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
ที่มา : brightside.me






5 เรื่องจริงของชาวโรมันที่คุณต้องขนลุกขนพอง

😂5 เรื่องจริงของชาวโรมันที่คุณต้องขนลุกไม่มีใครสงสัยในความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและความคิดต่างๆ ของโรมันเลยแต่กลับกัน การดำเนินชีวิตและพฤติกรรมบางอย่างของผู้คนในเวลานั้นกลับตรงกันข้ามอย่างน่าขนลุก...
ค้นหา
Custom Search
👉จักรวรรดิโรมันโบราณแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่และสร้างมีมรดกทางสถาปัตยกรรม ศิลปะ กฎหมาย วรรณกรรมและอื่นๆ ให้เราพบเห็นและใช้ประโยชน์ได้จนปัจจุบัน แต่เมื่อมอง "ชีวิตประจำวัน" ของชาวโรมันแล้ว กลับไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย หลายอย่างเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าน่าขยะแขยงเลยด้วยซ้ำ
ส้วมสาธารณะโรมัน ที่เมืองท่าโบราณออสเทีย ที่มาของภาพ
1️⃣. ส้วมมรณะ
ส้วมโรมันดูจะเป็นสถานที่ที่ชวนสยองและเสี่ยงตายอันดับต้นๆ ถึงกับบางคนต้องสวดมนต์ให้รอดจากการใช้ส้วมที่ว่านั่นเลย อาจฟังดูเกินจริงไป แต่ส้วมสาธารณะโรมันนั้นต่างจากห้องอาบน้ำสาธารณะที่เป็นสิ่งน่าชื่นชมของอารยธรรมนี้ลิบลับ ในขณะที่ห้องอาบน้ำเป็นสถานที่ที่ผ่อนคลายและดูดีน่าใช้งาน แต่ส้วมกลับทำให้ขนลุกทุกครั้งที่พูดถึง

ที่นั่งของส้วมเป็นรูให้หย่อนก้นลงไป ของเสียจะถูกปล่อยไปตามท่อที่เชื่อมกับท่อระบายน้ำและบ่อเกรอะแบบเปิด
อีกทั้งส้วมบางแห่งยังมีที่นั่งกว่า 50 ที่ให้นั่งติดๆ กันโดยไม่มีแผงกั้น!!!
อันตรายเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งมักปรากฏว่ามีหนูหรือสัตว์อื่นๆ โผล่ขึ้นมาจากรูที่นั่งของส้วมแล้วงับสะโพกหรืออะไรๆ ของผู้ที่กำลังปลดทุกข์จนโกลาหลกันอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการนั่งส้วมโรมันคือมีก๊าซมีเทนที่เกิดจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุสะสมอยู่ในท่อระบายปฏิกูลจำนวนมาก จนบางครั้งก็ติดไฟจนทำให้คนถูกไฟลวก หรือเกิดการระเบิดย่อยๆ ขึ้นมาได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนโรมันจึงต้องสวดมนต์หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเมื่อต้องเข้าส้วมสาธารณะ

👉นักโบราณคดีพบคาถาหรือมนตราจำนวนมากที่ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจสลักอยู่บนผนังส้วม ขณะเดียวกันมีเรื่องเล่ากันว่าปีศาจเกลียดเสียงหัวเราะ ทำให้นิยมสลักหรือขีดเขียนภาพล้อเลียนต่างๆ ที่ทำให้ผู้พบเห็นหัวเราะออกมาขณะกำลังทำธุระอยู่ แต่ถ้าสถานการณ์ย่ำแย่ คนโรมันจะขอให้เทพเจ้าช่วย ซึ่งเทพที่นิยมเอ่ยถึงเป็นเทพีแห่งโชค คือ เทพีฟอร์ทูนา (Fortuna) ถึงกับส้วมบางแห่งทำภาพเทพีองค์นี้ไว้เลยก็มี
ภาพเทพีฟอร์ทูนา (ขวา) บนผนังส้วมสาธารณะที่ปอมเปอี พร้อมข้อความเตือนผู้ใช้ส้วมให้ระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น 
ที่มาของภาพ

แต่ก็น่าแปลกใจว่าชาวโรมันใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะคิดถึงเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยแทนที่จะคิดเรื่องโชคดี-โชคร้ายในส้วม
👉ไซโลสปอนกิอุม หรือ ฟองน้ำติดด้ามไม้ ซึ่งน่าจะเป็นแบบเดียวกับที่ใช้กันในสมัยโรมัน ที่มาของภาพ
2️⃣. ฟองน้ำสามัคคี
อย่างที่บอกไปแล้วว่าห้องส้วมโรมันนั้นเป็นสถานที่ที่สุดแสนอันตรายและอุดมด้วยความเสี่ยงหลายต่อหลายอย่าง แต่ถ้ายังไม่สยองพอ ต้องมาดูที่นี่...
คนโรมันโบราณไม่มีกระดาษชำระ กลับกัน พวกเขาหยิบฉวยของทุกอย่างที่หาได้ใกล้มือมาใช้ หรือดีขึ้นมาหน่อยก็จะมีอุปกรณ์ "กลาง" ของส้วมให้ใช้...ก็บอกแล้วว่าส้วม "สาธารณะ" อะไรๆ ก็เลยเป็นของใช้ร่วมกันไปหมด

อุปกรณ์ชวนขยะแขยงชิ้นนี้มีชื่อในภาษาละตินว่า ไซโลสปอนกิอุม (Xylospongium) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "ฟองน้ำติดด้ามไม้" ซึ่งมีไว้ประจำส้วมสาธารณะ แต่โชคไม่ดี ที่ส้วมแต่ละแห่งจะมีอุปกรณ์ชิ้นนี้เพียงไม่กี่อันเท่านั้น

เรื่องก็เลยวุ่นวายเมื่อต้องมีการใช้ฟองน้ำนี่ร่วมกัน แถมยังไม่เคยขัดล้างทำความสะอาดเลยด้วย จนอาจกลายเป็นช่องทางของการแพร่เชื้อโรคต่างๆ (เช่น เชื้อไทฟอยด์ เชื้ออหิวตกโรค) ในสมัยโบราณก็เป็นได้
👉ภาพวาดบนภาชนะดินเผา เป็นรูปทาสถือหม้อเก็บปัสสาวะของผู้เป็นนาย ซึ่งอาจนำไปขายให้ร้านฟอก-ย้อมผ้าต่อไป ที่มาของภาพ
3️⃣. ปากสะอาด ฟันขาว ด้วย "ฉี่"
ผู้คนในจักรวรรดิโรมันใช้ปัสสาวะกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการฟอกสีหนังสัตว์ ซักเสื้อผ้า ล้างคอกหรือชำระตัวสัตว์ ปลูกต้นไม้(เป็นปุ๋ย) และที่แปลกที่สุดก็คือ ใช้ขัดฟันให้ขาว"ฉี่" สำคัญถึงกับต้องมีการออกกฎหมายและภาษีว่าด้วยการซื้อขายปัสสาวะกันเลยทีเดียว
เมื่อชาวโรมันปัสสาวะลงในหม้อแล้วนำไปเทลงบ่อพัก จะมีคนมาคอย "เก็บ" รวบรวมเอาไปขายร้านค้าหรือธุรกิจที่ต้องใช้ฉี่เป็นส่วนประกอบซึ่งต้องเสียภาษีปัสสาวะ (Urine Tax) ดังนั้นบางร้าน เช่น โรงฟอกหนังจึงตั้งหม้อหรืออ่างไว้ที่ประตูทางเข้าร้าน เพื่อให้คนที่ผ่านไปผ่านมาปลดปล่อย "ทุกข์เบา" ให้กับทางร้านเอาไปใช้โดยไม่ต้องเสียภาษี...เหมือนการบริจาคฉี่ อะไรทำนองนั้น
หม้อหรืออ่างรองรับปัสสาวะ หน้าร้านฟอก-ย้อมผ้าในปอมเปอี ที่มาของภาพ

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครอย่างหนึ่งของคนโรมันที่ได้มาจากปัสสาวะ ก็คือ น้ำยาบ้วนปาก ก็อย่างที่บอกไปว่าคนโรมันเชื่อว่าฉี่ช่วยให้ปากสะอาดและฟันขาว เพราะในปัสสาวะมีแอมโมเนีย (ammonia) ที่มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้ดีโดยเฉพาะการขจัดคราบฟัน คัตตูลูส (Cuttulus) นักเขียนโรมันถึงกับยืนยันว่าฉี่ไม่ว่าจะของคนหรือของสัตว์ล้วนใช้ขัดฟันขาวได้ดีพอๆ กันต่อให้มีคนยืนยันมากกว่านี้ ก็คงต้องขอตัวก่อนแล้วกัน
4️⃣.ขี้แพะ..นอกจากฉี่แล้ว ชาวโรมันยังใช้ขี้แพะอย่างแพร่หลายไม่น้อยไปกว่ากัน ตามบันทึกของนักเขียนและนักธรรมชาติวิทยาคนสำคัญของโรมัน พลีนีผู้อาวุโส (Pliny the Elder) ระบุว่า ขี้แพะถูกนำมาผสมกับอีกหลายอย่างใช้เป็นยาทาแผลฉุกเฉิน แถมยังบอกอีกว่าขี้แพะที่เก็บในฤดูใบไม้ผลิแล้วตากแห้งเก็บไว้ใช้มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถ้าแบบ "สดๆ" ก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน (แหวะ!!!)

👉แค่ทาแผลก็ยังไม่เท่าไหร่ 
แต่ ทริการิอุส (trigarius) หรือนักแข่งรถศึกที่เป็นกีฬาที่ชื่นชอบอย่างหนึ่งของคนโรมัน นิยมทำเครื่องดื่มเพิ่มพลังจากขี้แพะบดละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู เพราะเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มพลัง ลดความเหนื่อยล้าให้แก่ "นักแข่งรถศึก" ได้ดีเยี่ยม
โมเสกเป็นภาพนักแข่งรถศึกโรมัน

พลีนี (เจ้าเดิม) ระบุว่าเครื่องดื่มนี้ดีและได้รับความนิยมมาก แม้แต่พระจักรพรรดิเนโร (Nero) ก็ทรงดื่มในยามที่พระองค์ "ทรงต้องความแข็งแกร่งในสนามแข่งขัน"
👉การจัดเลี้ยงอาหารแบบโรมัน จะเขียนการ “เอกเขนก” (recline) กินอย่างสบายใจ 
ที่มาของภาพ
5️⃣. อ้วกแล้วกินต่อ
เรามีหลักฐานจำนวนมากเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยงอาหารของชาวโรมันให้ศึกษาค้นคว้า ซึ่งล้วนแต่บรรยายถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยและความร่ำรวยของผู้เป็นเจ้าภาพพร้อมกับอาหารล้นเหลือ คนที่มางานเลี้ยงก็กินได้สารพัดเท่าที่จะ "ยัด" เข้าไปในท้องได้ ซึ่งตามบันทึกของเซเนกา (Seneca) นักการเมืองและนักปรัชญาโรมัน ถ้ากินจนไม่เหลือที่ว่างในท้องแล้ว แขกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้นก็จะ "อ้วก" ออกมาเพื่อจัดระเบียบกระเพาะให้กินต่อไปได้

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าท่านเหล่านั้นจะลุกไปล้วงคอในห้องน้ำหรอกนะ เขาไม่เคยคิดจะลุกไปจากโต๊ะด้วยซ้ำ (อาจกลัวของอร่อยหมดก่อนหรือยังไงก็ไม่ทราบ) มีหลายครั้งที่ปล่อยลงพื้นหรือดีหน่อยก็หยิบชามใกล้ๆ มือมารองไว้ พอเรียบร้อยก็ตั้งหน้าตั้งตากินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนชั้นสูงของโรมันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาคิดว่าตนไม่ใช่คนที่ต้องทำความสะอาดพื้น
เซนากาบันทึกไว้ว่า...
"เมื่อเราเอกเขนก (คนโรมันเหมือนกันชาวกรีก คือ นอนหรือเอนตัวลงเอาศอกข้างหนึ่งเท้าหมอนหรือพื้นกินอย่างสบายใจ ไม่นั่งห้อยขากินเหมือนเราในปัจจุบัน) [ทาส]คนหนึ่งจะคอยเช็ดน้ำลาย  ขณะที่ [ทาส] อีกคนจะอยู่ใต้โต๊ะคอยเก็บ[อ้วก]ที่คนเมาปล่อยออกมา"...

รายการบล็อกของฉัน