Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องลึกลับของ มัสญิดอัล อักซอ และโดมศิลาสีทอง (Dome of the Rock)


บางสิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับมัสญิด อัลอักซอ
1) ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมากมายเพื่อยึดครองบริเวณแห่งนี้
ไม่มีที่ดินบริเวณใดในโลกที่ผู้คนแย่งชิงกันเข้าครอบครองมากไปกว่ามัสยิดอัลอักซอในเมืองเยรูซาเล็ม และไม่เป็นการเกินเลยไปที่จะกล่าวว่านับเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่บริเวณแห่งนี้มีผู้คนจำนวนมากล้มตายไปเพื่อการครอบครอง
มัสยิดแห่งนี้มีความสำคัญมากในหัวใจของมุสลิม เพราะมันเป็นดินแดนที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสามของโลกมุสลิมรองไปจากมัสญิดอัลฮะรอมที่มักกะห์และมัสยิด อันนะบะวีย์ที่มะดีนะห์ มันเป็นสถานที่ที่ท่านนบีมูฮัมหมัดถูกนำไปในการเดินทางอันมหัศจรรย์ในยามค่ำคืน(อิสรออ์และมิอฺรอจญ์) เป็นบริเวณที่ชุมนุมสำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเมื่อนบีทั้งหมดที่เคยมีชีวิตก่อนหน้านี้ได้มารวมกันนมาซที่นั่นตามหลังท่านนบีมุฮัมมัด
แต่ถึงกระนั้น ยังมีอะไรบางอย่างที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับมัสยิดอัลอักซอ

2) ไม่ใช่แค่มัสยิดเดียว
บริเวณที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอยังมีอีกหลายมัสยิด เราคิดว่ามัสยิดอัลอักซอคืออาคารที่ตั้งอยู่ตรงมุมใต้สุดของมัสยิด ความจริงแล้ว นั่นเป็นมัสยิดกิบลี ที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะมันอยู่ใกล้กิบละฮฺที่สุด ภูเขาทั้งหมดคือมัสยิดอัลอักซอและบางครั้งถูกอ้างถึงว่าเป็นฮะรอมอัชชะรีฟเพื่อป้องกันความสับสน แต่ยังมีมัสยิดอื่นๆบนที่ตั้งแห่งนี้ซึ่งโดยปกติแล้วมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น มัสยิดบุรอก มัสยิดมัรวานและอื่นๆ

3) พื้นที่ฝังศพของบรรดานบีและสาวกคนสำคัญๆ
ไม่มีบันทึกว่านบีและสาวกของนบีกี่คนถูกฝังที่นั่น แต่มีหลายคนแน่นอน เช่น นบีสุลัยมานถูกฝังที่นั่นเพราะเรารู้ว่านบีจะถูกฝังตรงที่ท่านเสียชีวิตและนบีสุลัยมานตายในขณะที่กำลังควบคุมการก่อสร้างอาคารก่อนหน้านี้ตามที่ปรากฏในบางหะดิษ

4) ครั้งหนึ่งเคยเป็นกองขยะ
ในยุคที่ชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองนี้ ชาวเมืองโรมันได้ใช้พื้นที่ของมัสยิดเป็นที่ทิ้งขยะ เมื่อคอลีฟะฮฺอุมัรฺปลดปล่อยเมืองนี้ เขาได้สั่งและปัดกวาดขยะด้วยมือเปล่าของเขาเอง นอกจากนี้แล้ว เขายังได้ยุติการเนรเทศชาวยิวที่ดำเนินมานานนับหลายศตวรรษและได้เชิญคน 70 ครอบครัวในหมู่บ้านผู้อพยพใกล้ๆให้กลับมาอยู่ในเยรูซาเล็มและให้สิทธิ์คนเหล่านั้นกลับมาหลังจากถูกเนรเทศเป็นเวลาหลายศตวรรษ นี่คือความดีที่ลูกพี่ลูกน้องของเรา(ชาวยิว)ดูเหมือนจะลืม

5) ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นคอกม้า วังและห้องประหาร
เมื่อพวกครูเสดยึดเมืองเยรูซาเล็มครั้งแรก พวกเขาพบว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่หลบอยู่ในมัสยิด พวกครูเสดจึงสังหารคนเหล่านั้นไปประมาณ 70,000 คนและเปลี่ยนมัสยิดกิบลีให้เป็นวัง เปลี่ยนโดมแห่งศิลาให้เป็นโบสถ์และห้องใต้ดินให้เป็นคอกม้า มุสลิมที่รอดจากการถูกสังหารหมู่ถูกนำมาตรึงกางเขนบนไม้กางเขนที่ถูกตั้งไว้ใกล้ศูนย์กลางของมัสยิด ไม้กางเขนนี้เป็นเพียงไม้กางเขนเดียวที่เศาะลาฮุดดีนมาทำลาย ฐานของไม้กางยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

6) มัสยิดอัลอักซอมีมิมบัรฺที่เป็นตำนานอยู่
นูรุดดีน ซันกี หนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลามได้สั่งให้สร้างมิมบัรฺพิเศษอีกอันหนึ่งไว้ในมัสยิดอัลอักซอเมื่อมีการคิดว่ามุสลิมจะสามารถยึดมัสยิดคืนมาจากพวกครูเสดได้ มิมบัรฺนี้ไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยังทำขึ้นโดยไม่มีตะปูแม้แต่ตัวเดียวหรือใช้กาวติด แต่น่าเสียดายที่นูรุดดีนไม่มีชีวิตยาวพอที่จะเห็นชัยชนะ แต่เศาะลาฮุดดีนลูกศิษย์เอกของเขาได้ทำให้ความปรารถนาของอาจารย์ของเขาเป็นความจริง หลังจากปลดปล่อยเยรูซาเล็มเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์อิสลาม เขาได้เอามิมบัรฺนั้นมาตั้งไว้ มิมบัรฺนั้นยังคงเป็นตำนานของงานศิลปะชั้นเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่มิมบัรฺนี้ต้องถูกไฟเผาไปด้วยเมื่อมัสยิดถูกพวกยิวลอบเข้าไปวางเพลิง

มัสยิดอัลอักซอเป็นกิบลัตแห่งแรกในสองกิบลัตและเป็นหนึ่งในสามมัสญิดที่มุสลิมมุ่งมาดปรารถนาที่จะเดินทางไปนมาซที่นั่นเพื่อดื่มด่ำความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมัสยิดนี้
ในบันทึกหะดิษของนะซาอีกล่าวว่ามัสยิดอัลอักซอถูกสร้างขึ้นโดยนบีสุลัยมาน แต่ก็มีบางรายงานกล่าวว่ามัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนนั้นนานแล้ว นบีสุลัยมานเป็นผู้มาสร้างมันขึ้นใหม่อีก คำอ้างนี้มาจากคำบอกเล่าของอบูซัรฺที่เล่าว่า “ฉันได้ถามท่านรอซุลลลอฮฺว่า 

มัสยิดไหนถูกสร้างขึ้นบนโลกนี้เป็นแห่งแรก?” ท่านนบีกล่าวว่า “มัสยิดอัลฮะรอม”
ฉันจึงถามต่อว่า “หลังจากนั้น มัสยิดอะไร?” ท่านตอบว่า “มัสยิดอัลอักซอ” 
ฉันถามว่า “ระยะห่างกันเท่าใด?” ท่านตอบว่า “สี่สิบปี ดังนั้น ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหนเมื่อเวลานมาซมาถึง จงนมาซ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” (บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)
อบูดัรฺดารายงานว่าท่านนบีมูฮัมหมัดกล่าวว่า “การนมาซในมัสยิดอัลฮะรอมได้รับรางวัลตอบแทน 1 แสนเท่า นมาซในมัสยิดของฉัน(มัสยิดนะบะวีย์)ได้รับรางวัลตอบแทน 1 พันเท่าและนมาซในมัสยิดอัลอักซอได้รับรางวัลตอบแทนมากกว่าที่อื่น 500 เท่า” (เฏาะบะรอนี, บัยฮะกี,สุยูตี)

เซด อิบนุษาบิตรายงานว่าท่านนบีได้กล่าวว่า “ช่างเป็นความจำเริญเสียจริง อัชชาม” บรรดาสาวกจึงถามว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ท่านรอซูลุลลอฮฺตอบว่า “ฉันเห็นมลาอิกะห์ของอัลลอฮฺขยายปีกอยู่เหนืออัชชาม” อิบนุอับบาสกล่าวเสริมว่า “และนบีหลายคนอยู่ในนั้น ไม่มีแม้แต่ตารางนิ้วเดียวในอัลกุดส์ที่นบีไม่นมาซและมลาอิก๊ะฮฺไม่ได้ยืน” (บันทึกโดยติรฺมีซี, อะหมัด)

ใน ค.ศ.1967 เยรูซาเล็มหลุดจากมือของมุสลิมเป็นครั้งที่สามและตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล ทหารอิสราเอลที่เข้ามาครอบครองได้นำเอาธงของตนขึ้นไปโบกสะบัดบนยอดโดมศิลาเป็นการท้าทายโลกมุสลิม

ใน ค.ศ.1969 พวกไซออนิสต์สัญชาติออสเตรเลียคนหนึ่งได้ลอบเข้าไปวางเพลิงมิมบัรฺของนูรุดดีน ซันกีซึ่งเศาะลาฮุดดีนได้นำไปตั้งไว้เป็นเวลา 900 ปีภายในอาคารมัสญิดกิบลีและชาวปาเลสไตน์พยายามที่จะดับไฟเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ วันนั้นนับเป็นคืนฝันร้ายของโลกมุสลิม

นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้มัสยิดได้ถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่ แต่การรุกล้ำทำลายมัสยิดที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามของโลกมุสลิมยังคงดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบันด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การลอบขุดฐานรากของมัสยิดโดยอ้างว่าเพื่อค้นหารากฐานวิหารเก่าที่บรรพบุรุษของชาวยิวได้สร้างไว้ การเข้ามาในบริเวณโดยไม่มีสิทธิ์ของชาวยิวและการข่มขู่ว่าจะสร้างวิหารเก่าขึ้นมาใหม่บนบริเวณมัสยิดอัลอักซอ

คลิปประกอบบทความ

รายการบล็อกของฉัน