ปริศนาของกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่รู้
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักกำแพงเมืองจีนอันนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ก่อนอื่นเลยก็ต้องมารู้จักกับเจ้าสิ่งก่อสร้างที่สามารถมองเห็นจากนอกโลกอันนี้เสียก่อนว่าเจ้ากำแพงเมืองจีน ที่เสมือนหนึ่งมังกรโบราณตัวมหึมาพาดผ่านกินเนื้อที่ร่วม 6,400 กิโลเมตรนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่มีปริศนา และความเข้าใจผิดหลายอย่างที่แฝงอยู่ในความยิ่งใหญ่เคียงคู่กับประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย
ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องกองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย
กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า
"ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน
ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน
ข้อแรกหลายคนเชื่อว่าจิ๋นซีฮ่องเต้สร้างกำแพงเมืองจีน?
คนทั่วไปที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับประวัติศาสตร์จีน หรือเรื่องเกี่ยวกับจีนๆหลายคนอาจจะเข้าใจว่าปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ฉิน หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวง) เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นมา จนกระทั่งในตำรา เวบไซต์ หรือสื่อต่างๆถึงกับฟันธงไปเช่นนั้น แต่ทว่า ในความเป็นจริง จุดเล็กๆบางจุดของกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เกือบ 6,000-7,000 ปีก่อน โดยชนเผ่าบางกลุ่มที่สร้างกำแพงจากดินขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองจากสัตว์ร้าย เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง จึงมักไม่ถูกพูดถึง
คนทั่วไปที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับประวัติศาสตร์จีน หรือเรื่องเกี่ยวกับจีนๆหลายคนอาจจะเข้าใจว่าปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ฉิน หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวง) เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นมา จนกระทั่งในตำรา เวบไซต์ หรือสื่อต่างๆถึงกับฟันธงไปเช่นนั้น แต่ทว่า ในความเป็นจริง จุดเล็กๆบางจุดของกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เกือบ 6,000-7,000 ปีก่อน โดยชนเผ่าบางกลุ่มที่สร้างกำแพงจากดินขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองจากสัตว์ร้าย เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง จึงมักไม่ถูกพูดถึง
กระทั่งสมัยราชวงศ์โจว เมื่อราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นยุคศักดินาที่มีการรบราระหว่างแคว้นต่างๆในประเทศจีน (บางตำราใช้คำว่ารัฐ)กษัตริย์แคว้นฉู่ได้ริเริ่มดำเนินการก่อสร้างกำแพงขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นอื่น อาทิ แคว้นฉี เยียน เว่ย จ้าว และฉิน ซึ่งต่อมาแคว้นเหล่านี้ก็ได้หันมาลงมือก่อสร้างกำแพงต้านข้าศึกตามอย่างบ้าง จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้น และโครงสร้างพื้นฐานของกำแพงหมื่นลี้ ที่กระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆของจีน
เมื่อย่างเข้าสู่ยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปฐมจักพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน) ที่ได้ผนึกรวมทั้งหกแคว้นใหญ่ที่กระจัดกระจายเป็นหนึ่งแล้ว เพื่อป้องกันแผ่นดินภาคกลางจากการรุกรานและคุกคามของเผ่าซงหนูทางเหนือ พระองค์ได้ทำการเชื่อมร้อยกำแพงเมืองจีนทางตอนเหนือของแคว้นฉิน เยี่ยน และจ้าวที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากยาวจากตะวันตกที่หลินเถา ทอดตัวยาวเรื่อยไปสุดที่เหลียวตงทางตะวันออก และมีระยะทางกว่า 5,000 ลี้ กระนั้นกำแพงหมื่นลี้หรือกำแพงเมืองจีนที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นกำแพงที่รับได้การบูรณะต่อเติมเรื่อยมาหลายครั้งตั้งแต่ในสมัยของราชวงศ์ฮั่น เรื่อยไปถึงราชวงศ์หมิงสืบมา
ข้อสองเวลาสร้างของกำแพงเมืองจีนสร้างในระยะแค่ชั่วอายุคนจริงหรือ?
คำถามว่ากำแพงเมืองหมื่นลี้ ใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่? เพราะผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์นี้ ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร? ใช้เวลาเท่าไหร่ ณ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงของนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าหากจะนับกำแพงหมื่นลี้ที่เห็นในปัจจุบัน ก็ต้องคำนวณจากราว 700 ปีก่อนคริสตศักราช มาจนถึงราชวงศ์หมิงที่ปี ค.ศ.1368-1644 หรือเท่ากับใช้เวลาก่อสร้างบูรณะ พูดง่ายๆ ว่าซ่อมทั้งสิ้นประมาณ 2,100-2,300 ปีแต่ทว่า ซึ่งเจ้าผลงานอันยิ่งใหญ่นี้ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่?
คำถามว่ากำแพงเมืองหมื่นลี้ ใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่? เพราะผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์นี้ ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร? ใช้เวลาเท่าไหร่ ณ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงของนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าหากจะนับกำแพงหมื่นลี้ที่เห็นในปัจจุบัน ก็ต้องคำนวณจากราว 700 ปีก่อนคริสตศักราช มาจนถึงราชวงศ์หมิงที่ปี ค.ศ.1368-1644 หรือเท่ากับใช้เวลาก่อสร้างบูรณะ พูดง่ายๆ ว่าซ่อมทั้งสิ้นประมาณ 2,100-2,300 ปีแต่ทว่า ซึ่งเจ้าผลงานอันยิ่งใหญ่นี้ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นใช้เวลาสร้างเท่าไหร่กันแน่?
มหาอาณาจักรราชวงศ์ฉินเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตศักราช และจบสิ้นที่ราว 207 ปีก่อนคริสตศักราช ทว่าโครงการก่อสร้างนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 215 ปีก่อนคริสตศักราช ในขณะที่จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจสอบชายแดนทางเหนือด้วยตัวของพระองค์เอง จนได้กำหนดแผนการก่อสร้างอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น กระทั่ง 207 ปีก่อนคริสตศักราชก็ถือเป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ฉิน
แต่ตามประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกว่า เมื่อ 210 ปีก่อนคริสตศักราช ชนเผ่าซงหนูทางเหนือได้เริ่มต้นรุกรานจีนจนไม่น่าจะสามารถทำการก่อสร้างต่อได้ ทำให้นักวิชาการหลายฝ่ายเชื่อว่า กำแพงเมืองจีนในสมัยราชวงศ์ฉินนี้ ถูกสร้างภายในระยะเวลาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น และแน่นอนว่าการก่อสร้างในระยะเวลาสั้นๆเท่านี้ ย่อมต้องอาศัยกำลังคนอย่างมหาศาลมากกว่าแสนคน แต่หากไม่มีวิธีการที่ดี การก่อสร้างมหึมาเช่นนี้ต่อให้ใช้เวลาเป็นร้อยปีก็ยากที่จะสร้างสำเร็จได้
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการสร้างกำแพงแสนยาวคือการขนส่ง เพราะหากต้องคอยขนส่งวัสดุในการก่อสร้าง จะทำให้เสียเวลามาก กำแพงเมืองจีนจึงเลือกการหาวัสดุจากบริเวณก่อสร้าง เพื่อประหยัดเวลาในการลำเลียงขนส่ง และแบ่งการก่อสร้างเป็น 3 ประเภทได้แก่กำแพงที่สร้างด้วยดิน กำแพงที่สร้างด้วยหิน และกำแพงที่สร้างด้วยไม้ ตามแต่วัสดุอุปกรณ์ที่สะดวกจะหาได้ในบริเวณต่างๆ
ข้อสุดท้ายตำนานรักเมิ่งเจียงหนี่มีจริงไหม?
ข้อสุดท้ายตำนานรักเมิ่งเจียงหนี่มีจริงไหม?
นิทานโบราณเกี่ยวกับเมิ่งเจียงหนี่ หญิงชาวบ้านที่ฝ่าลมหนาวมุ่งขึ้นเหนือตามหาสามีรักนามฟ่านสี่เหลียง ผู้ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานก่อสร้างกำแพงเมืองหลังแต่งงานได้เพียง 3 วัน การเดินทางครั้งนี้นางหวังเพียงเพื่อจะได้มอบเสื้อกันหนาว ที่ตนเองบรรจงเย็บขึ้น ทว่านางกลับต้องพบกับข่าวร้าย...สามีอันเป็นที่รักของนางนั้นได้เสียชีวิตไป เนื่องจากทนทรมานกับความยากลำบาก และศพก็ถูกฝังอยู่ภายใต้กำแพงเมือง
นางร่ำไห้คร่ำครวญน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ 7 วัน 7 คืน (บ้างว่า 3 วัน 3 คืน) จนในที่สุดทำให้กำแพงเมืองยาวหลายร้อยลี้พังทลายลงมาทั้งแถบ เผยให้เห็นซากอันไร้วิญญาณของสามี เมื่อนั้นเอง นางจึงตัดสินใจกระโดดเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงตายอยู่เคียงสามี ณ ที่แห่งนั้น (บ้างว่ากระโดดน้ำตาย)
ตำนานนี้ เป็นอีกประเด็นที่ถูกถกเถียงไม่น้อย บ้างก็ว่ามีจริง บ้างก็ว่าแต่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ได้ออกมาอ้างบันทึกทางประวัติศาสตร์หลายเล่ม รวมถึงหนังสือ “จั่วจ้วน” (左传) ระบุว่า ในรัชสมัยฉีจวงกง ปีที่ 4 แม่ทัพฉี่เหลียงนำกองทหารออกรบกับจี่ว์กั๋ว (ซันตงในปัจจุบัน) แล้วเสียชีวิต ภรรยาของเขา คือนางเมิ่งเจียงหนี่ ได้เดินทางมาที่หลุมศพ แล้วร่ำไห้ด้วยความอาลัยรักจนกำแพงเมืองฉีพังไปบางส่วน หลังจากนั้นก็กระโดดลงแม่น้ำจือเหอตายตามสามีไป
“ตำนานเรื่องนี้ผ่านการต่อเติมเสริมแต่งมาหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ถัง เริ่มจากร้องไห้ให้สามีจนกำแพงเมืองฉีพัง ก็เพี้ยนมาเป็นกำแพงเมืองฉิน(ฉินฉางเฉิง) นายพลฉี่เหลียงก็เพี้ยนมาเป็นว่านสี่เหลียง หรือไม่ก็ฟ่านสี่เหลียง ยิ่งเล่าสืบต่อกันมาก็ยิ่งขยายวงกว้างออกไป” หวังพีจั๋ว รองหัวหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งมณฑลซันตงกล่าว
อย่างไรก็ตาม จวบกระทั่งปัจจุบัน กำแพงเมืองจีน ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ที่เป็นแหล่งรวมซึ่งสติปัญญา หยาดเหงื่อ เลือดเนื้อและชีวิตของชาวจีน ที่แฝงไว้ซึ่งความงดงาม ด้วยลักษณะอันคดเคี้ยวพาดผ่านทิวเขามากมาย อีกทั้งมนต์เสน่ห์แห่งตำนาน ที่จะถูกเล่าขานต่อไปอีกนานเท่านาน